History of Fashion
มาลานำไทย: แฟชั่นสตรีและนโยบายรัฐนิยมในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 (ค.ศ. 1939-1945)
มาลานำไทย: แฟชั่นสตรีและนโยบายรัฐนิยมในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 (ค.ศ. 1939-1945)
รัชสมัยของ พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล (รัชกาลที่ 8) ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของสถาบันพระมหากษัตริย์ไทย ภายหลังการปฏิวัติในปี พ.ศ. 2475 ซึ่งทำให้ประเทศไทยเปลี่ยนผ่านจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ไปสู่ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองนี้เกิดขึ้นอย่างเป็นทางการเมื่อ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 7) ทรงสละราชสมบัติในปี พ.ศ. 2478 และส่งผลให้พระองค์ขึ้นครองราชย์
รัชสมัยของพระองค์เริ่มตั้งแต่ปี พ.ศ. 2478 จนถึงการเสด็จสวรรคตในปี พ.ศ. 2489 มีลักษณะเป็นเชิงสัญลักษณ์มากกว่า เนื่องจากอำนาจบริหารได้ถูกโอนย้ายไปสู่รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้เกิดขึ้นควบคู่ไปกับความพยายามของรัฐบาลในการปรับปรุงและทำให้ประเทศทันสมัย
ภายใต้การนำของ จอมพล ป. พิบูลสงคราม การส่งเสริมให้ประเทศไทยมีภาพลักษณ์ที่ทันสมัยและเป็นสากล โดยเฉพาะในด้านการแต่งกาย กลายเป็นนโยบายหลักของรัฐบาล แม้ว่าสถาบันพระมหากษัตริย์จะไม่มีอำนาจเบ็ดเสร็จดังเช่นในอดีต แต่ยังคงเป็นศูนย์รวมจิตใจของชาติ การเสด็จกลับประเทศไทยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล ภายหลังทรงศึกษาที่ทวีปยุโรป จึงสะท้อนถึงยุคใหม่ของการเปลี่ยนแปลงและการปรับตัวของสถาบันพระมหากษัตริย์ให้เข้ากับบริบททางการเมืองที่เปลี่ยนไป
แม้ว่าพระองค์จะไม่ได้ทรงมีบทบาทโดยตรงในด้านการบริหารประเทศ แต่รัชสมัยของพระองค์ถือเป็นสัญลักษณ์ของการปรับตัวของราชวงศ์ภายใต้ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และยังสะท้อนการเปลี่ยนแปลงทางสังคมที่เกิดขึ้นในช่วงเวลานั้น รวมถึงนโยบายการแต่งกายที่รัฐผลักดันเพื่อสร้างภาพลักษณ์ใหม่ของประเทศไทยให้สอดคล้องกับโลกสมัยใหม่และแนวคิดตะวันตก
ชาตินิยมและการปฏิรูปการแต่งกาย
เมื่อจอมพล ป. พิบูลสงครามขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีในปี พ.ศ. 2478 (ค.ศ. 1941) มีการนำนโยบายที่มุ่งสู่การปรับปรุงประเทศไทยให้ทันสมัยมาใช้ หัวใจของการปฏิรูปเหล่านี้คือความต้องการที่จะปลูกฝังอัตลักษณ์ของชาติที่แข็งแกร่งและเป็นเอกภาพซึ่งแตกต่างจากอิทธิพลของการล่าอาณานิคม ส่วนหนึ่งของวิสัยทัศน์นี้คือการส่งเสริมกฎการแต่งกายใหม่ โดยเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามในการปฏิรูปประเทศไทย รัฐบาลได้ริเริ่มนโยบายที่ส่งเสริมให้ประชาชนไทย โดยเฉพาะผู้หญิง เปลี่ยนการสวมใส่เสื้อผ้าแบบเดิม เช่น ผ้าซิ่น หรือโจงกระเบน เพื่อหันมาใส่เสื้อผ้าแบบตะวันตก เช่น กระโปรงและชุดเดรส ซึ่งถูกมองว่า “เจริญก้าวหน้า” และสอดคล้องกับมาตรฐานสากล
และช่วงเวลานี้ยังเห็นการส่งเสริมให้ผู้หญิงไทยสวมหมวกเป็นส่วนหนึ่งของการแต่งกายประจำวัน นโยบาย “มาลานำไทย” กระตุ้นให้ผู้หญิงไทยสวมหมวกเพื่อเป็นสัญลักษณ์ของความภาคภูมิใจในชาติ ความสุภาพ และความก้าวหน้า หมวกกลายเป็นสัญลักษณ์ของความทันสมัยของไทยและการนำมาใช้ได้รับการส่งเสริมในทุกชนชั้นของสังคมเพื่อแสดงให้เห็นถึงสถานะของชาติที่กำลังพัฒนาบนเวทีโลก
บทบาทของผู้หญิงในแฟชั่นของชาติ
ผู้หญิงมีบทบาทสำคัญในการปฏิวัติแฟชั่นภายใต้การนำของจอมพล ป. พิบูลสงคราม รัฐบาลพยายามที่จะกำหนดภาพลักษณ์ของผู้หญิงว่าเป็น “ดอกไม้ของชาติ” ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของความบริสุทธิ์ ความภาคภูมิใจ และอัตลักษณ์ของชาติ ภาพลักษณ์นี้ไม่ใช่แค่ในเชิงความงามเท่านั้น แต่ยังมีน้ำหนักทางการเมืองและวัฒนธรรมอย่างลึกซึ้ง นโยบายการแต่งกายของรัฐบาลเชื่อมโยงอย่างใกล้ชิดกับอุดมคติความเป็นผู้หญิง โดยเน้นบทบาทของผู้หญิงในฐานะแม่และภรรยา ซึ่งสะท้อนถึงทั้งความต้องการที่จะทำให้ประเทศทันสมัยและการยึดมั่นในค่านิยมดั้งเดิม
นโยบาย “มาลานำไทย” แม้ว่าจะมุ่งเน้นไปที่การแต่งกาย แต่ก็เป็นส่วนหนึ่งของความพยายามในการปรับบทบาทของผู้หญิงในสังคม ผู้หญิงได้รับการกระตุ้นให้สวมใส่เสื้อผ้าแบบตะวันตก ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของการมีส่วนร่วมในโครงการปรับปรุงชาติของประเทศ การเปลี่ยนแปลงนี้ขยายไปไกลกว่าการแต่งกาย โดยเฉพาะในด้านการศึกษาและการทำงาน โดยผู้หญิงได้รับการกระตุ้นให้มีส่วนร่วมในชีวิตสาธารณะและเศรษฐกิจมากขึ้น ซึ่งช่วยสร้างแนวคิดที่ว่าผู้หญิงเป็นบุคคลสำคัญในการสร้างชาติ
การบูรณะภาพด้วย AI: พระบรมฉายาลักษณ์ในพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๗) และสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี
การบูรณะภาพด้วย AI: พระบรมฉายาลักษณ์ในพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๗) และสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี
ภาพนี้เป็นส่วนหนึ่งของโปรเจ็คส่วนตัวเล็กที่ผมกำลังทำอยู่ในขณะนี้ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อบูรณะและลงสีพระบรมฉายาลักษณ์ของ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๗) และ สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี ด้วยเทคโนโลยี AI ซึ่งจุดเริ่มต้นของโปรเจ็คนี้มาจากความสนใจส่วนตัวในเรื่องแฟชั่นสมัยทศวรรษ 1930 โดยเฉพาะฉลองพระองค์ของ สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี ในระหว่างที่ทั้งสองพระองค์ทรงพำนักในประเทศอังกฤษหลังจากเสด็จสละราชสมบัติ
อุปสรรคสำคัญของโปรเจ็คนี้คือ คุณภาพของพระบรมฉายาลักษณ์ในยุคนั้นที่ค้นหามาได้ ส่วนใหญ่เป็นภาพขาวดำที่เลือนราง พิกเซลแตก เบลอ หรือถูกทำลายตามกาลเวลา การออกแบบหรือวิเคราะห์แฟชั่นในเชิงลึกจึงเริ่มต้นไม่ได้หากไม่บูรณะภาพเหล่านั้นให้ชัดเจนเสียก่อน
ผมจึงเริ่มจากการคัดเลือกภาพที่มีโครงสร้างดีที่สุด แล้วใช้เทคนิคการลงสีและเพิ่มรายละเอียดด้วย AI เพื่อบูรณะภาพเหล่านี้ให้สวยงาม และชัดเจน และเปี่ยมด้วยบรรยากาศทางประวัติศาสตร์โดยไม่บิดเบือนสาระสำคัญ
พระบรมฉายาลักษณ์แบบภาพคู่
พระบรมฉายาลักษณ์ที่ปรากฏในโพสต์นี้เป็นหนึ่งในภาพที่ผมชื่นชอบมากที่สุด เป็นภาพคู่ของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี ซึ่งน่าจะถ่ายในสวนของที่ประทับ ณ ประเทศอังกฤษ ในช่วงปลายทศวรรษ 1930 ขณะทั้งสองพระองค์ทรงพำนักภายหลังเสด็จออกจากประเทศไทย
พระบรมฉายาลักษณ์นี้จับภาพขณะที่ทั้งสองพระองค์ประทับยืนเคียงกันอย่างสง่างาม คาดว่าทรงเตรียมเสด็จออกไปยังสถานที่สำคัญหรือร่วมงานสังคมบางอย่าง ฉลองพระองค์ของทั้งสองพระองค์สะท้อนรสนิยมอันประณีตของแฟชั่นชนชั้นสูงในช่วงทศวรรษ 1930 ได้อย่างน่าชื่นชม
ฉลองพระองค์ของในหลวงรัชกาลที่ ๗:
พระองค์ทรงฉลองพระองค์ด้วย ชุดสูทสามชิ้นสีเทา (ผมจินตนาการในการลงสีภาพ) ซึ่งเป็นแบบฉบับของแฟชั่นบุรุษยุค 1930 โครงเสื้อมีช่วงไหล่กว้าง เอวคอด และกางเกงทรงหลวมมีจีบ โดยตัดเย็บจากผ้าขนสัตว์ ทรงเสื้อกั๊กแบบกระดุมแถวเดียวและ เสื้อเชิ้ตสีขาว คอปกเสื้อเป็นแบบปลายแหลม (spearpoint collar) ซึ่งได้รับความนิยมในลอนดอนและปารีสในยุคนั้น ทรงผูก เนคไทไหมสีฟ้าอ่อน และทรงฉลองพระบาท หนังดำแบบอ๊อกซ์ฟอร์ด (Oxford shoes) ขัดมันเงา
ฉลองพระองค์ของสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี:
สมเด็จพระนางเจ้าฯ ฉลองพระองค์ด้วย ชุดสูทกลางวันสีงาช้าง ประกอบด้วย เสื้อแจ็กเก็ตเข้ารูปแบบมีเสริมไหล่เล็กน้อย และ กระโปรงยาวปานกลางเหนือข้อเท้าเล็กน้อย ซึ่งเป็นทรงยอดนิยมของสตรีในยุค 1930 เรียกว่าความยาวแบบ midi lenght ผมได้เติม ถุงมือผ้าสีงาช้าง ในเวอร์ชัน AI เพื่อให้เครื่องแต่งพระองค์ดูสมบูรณ์ยิ่งขึ้น
กระเป๋าคลัตช์หนังสีขาว และ รองพระบาทส้นเตี้ยแบบ kitten heels สีงาช้าง เป็นองค์ประกอบที่เสริมความสง่างามอย่างพอเหมาะสำหรับกลางวัน โดยเฉพาะเมื่อรวมเข้ากับ หมวกสานปีกกว้างสีขาวประดับริบบิ้น ซึ่งเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ในแฟชั่นสตรีของยุคนั้น ทรงพระเกศาทรงเกล้าต่ำอย่างเรียบร้อย ซึ่งเข้ากับรูปแบบสากลและพระเกียรติยศของพระราชินีอย่างงดงาม
การบูรณะฉากหลังของภาพ
ในเวอร์ชัน AI ที่ได้รับการปรับแต่ง ผมได้ใช้ภาพถ่ายจากจดหมายเหตุของที่ประทับที่อังกฤษ เพื่อจำลองฉากสวนและบริเวณที่ประทับให้ใกล้เคียงของจริงในยุคนั้น และได้เพิ่มเติม รถยนต์สมัยทศวรรษ 1930 เพื่อสื่อถึงกาลสมัยและบริบททางประวัติศาสตร์
ผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่าภาพนี้จะถ่ายทอดความสง่างามของทั้งสองพระองค์ออกมาได้อย่างมีชีวิตชีวา การบูรณะภาพด้วย AI ไม่ใช่เพียงการลงสีหรือตกแต่ง แต่เป็นการฟื้นคืนคุณค่าแห่งกาลเวลา ให้เราเห็นคุณค่าของบุคคลในอดีตผ่านภาพที่มีชีวิตอีกครั้งหนึ่ง
แฟชั่นสตรีไทยยุค 1930 ในโลกจินตนาการ ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี
Imagined Thai Women’s Fashion of the 1930s Inspired by Queen Rambhai Barni
In the imagined world of 1930s Bangkok presented in this AI-enhanced photo collection, Thai women are portrayed in elegant Western daywear inspired by British fashion trends of the interwar years. These visual reinterpretations draw from the historical wardrobe of Queen Rampai (Queen Rambhai Barni), consort of King Prajadhipok (Rama VII), whose exile in England following the 1932 Siamese revolution coincided with a period of rapid evolution in women’s fashion. The result is a refined blend of Thai grace and European tailoring, manifesting the globalised aspirations of Siam’s elite women.
Fashion in Transition: The Silhouette of the 1930s
The 1930s marked a transitional period in women’s fashion, moving away from the boyish, androgynous silhouettes of the 1920s towards a more mature, feminine elegance. Dresses and suits from this era featured nipped-in waists, softly padded shoulders, and mid-calf-length skirts. Daywear, in particular, was designed to be both stylish and practical—ideal for the increasingly active roles women were taking in society.
This transformation echoed the Edwardian fashion of the early 20th century, which had already established the classic formula of a well-fitted jacket paired with a long skirt. However, in the 1930s, the day suit evolved into a more functional yet equally refined garment. Jackets were cut closer to the body, sometimes featuring military-inspired lapels or brass buttons, while skirts retained modest lengths that aligned with traditional values, yet allowed freer movement. Accessories such as gloves, brooches, and wide-brimmed hats added a note of dignity and urban sophistication.
British Influence and the Siamese Court
The wardrobe of Queen Rambhai Barni during her years in England offered a compelling model for Siamese women navigating modernity. The Queen, educated and poised, became a figure of grace in exile. Her clothing choices—elegant wool suits, crepe dresses, structured coats, and coordinated hats—reflected both her status and her awareness of global fashion.
British designers like Norman Hartnell and Hardy Amies, later couturiers to Queen Elizabeth II, were key in popularising the refined day suit. Hartnell’s designs favoured luxurious fabrics and intricate tailoring, while Amies brought clarity and practicality to the women’s silhouette. Though there is no direct record of Queen Rambhai Barni commissioning pieces from these houses, the styles she wore clearly followed the prevailing British taste of the 1930s, characterised by refinement, elegance, and modern womanhood.
Day Suits in Siam: Imagining a Fashionable Bangkok
In this AI Fashion Lab collection, we imagine a Bangkok where elite Siamese women confidently adopted Western styles. Inspired by Queen Rampai’s time abroad and the increasing openness of Siamese society to foreign culture, these women are depicted wearing day suits that balance British structure with Siamese elegance. The suits are carefully tailored in linen, wool, or silk blends—fabrics appropriate for tropical weather yet aligned with European aesthetics.
Key features include:
Nipped waist jackets with decorative buttons and padded shoulders
Calf-length skirts with subtle pleats or front slits for ease of movement
Matching gloves and handbags, evoking the complete ensemble style of English ladies
Wide-brimmed straw or felt hats, often accented with ribbon or feather
Neck ties and blouses with bows or jabots, softening the structured lines of the jacket
Cultural Hybridity and the Thai Modern Woman
This imagined fashion scene represents more than aesthetic exploration—it is a reflection of cultural hybridity. The 1930s were a time when Thai aristocracy and upper-middle class women began participating in modern life more visibly. Educated abroad or influenced by Western-educated elites, these women used dress to express a cosmopolitan identity that respected traditional decorum while embracing modern freedoms.
By adopting the British day suit, they not only followed fashion but redefined their roles in society—participating in charity work, education, diplomacy, and intellectual circles. The formality and polish of the suit conveyed readiness for public life, while still maintaining the grace and discretion expected of a well-bred woman.
Conclusion: A Style of Confidence and Elegance
The women’s day suit of the 1930s, as imagined in this collection and inspired by the historical presence of Queen Rambhai Barni, symbolises the emergence of a modern Siamese woman. Structured yet feminine, formal yet practical, it reflects an era of shifting social roles and global connection. In adopting this style, Thai women of the time—and in this imagined world—claimed a new sartorial identity, poised between heritage and modernity.
#aifashionlab #AI #aiartist #aiart #aifashion #aifashiondesign #aifashionstyling #aifashiondesigner #fashion #fashionhistory #historyoffashion #fashionstyling #fashionphotography #digitalfashion #digitalfashiondesign #digitalcostumedesign #digitaldesign #digitalaiart #ThaiFashionHistory #ThaiFashionAI
ผ้าซิ่นกับอัตลักษณ์ใหม่ของสตรีไทย: แฟชั่นหลังสงครามครั้งที่ 1 และกระแสพระราชนิยมในรัชกาลที่ 6
Pha-Sin and the New Identity of Thai Women: Post-WWI Fashion and Royal Influence in the Reign of King Rama VI
During the mid-reign of King Vajiravudh (Rama VI, 1915–1920), the fashion of elite women in Siam underwent significant transformation, influenced by global trends. Postwar styles gradually merged with the late Teens fashion (1915–1919), which marked the end of the Art Nouveau era and the transition toward Art Deco in the 1920s. This style emphasised simplicity, columnar silhouettes, lowered waistlines, and shorter hemlines that no longer brushed the floor. These changes reflected a global shift toward practicality and comfort in women’s everyday attire.
The Pha Sin – From Regional Garment to National Symbol
Under the reign of King Chulalongkorn (Rama V, 1868–1910), the pha sin was perceived as an ethnic or regional garment worn by women from provinces outside Bangkok, particularly the North and Northeast, which were considered peripheral. Women in Bangkok favoured the chong kraben and sported short hair in the dok krathum style, while women who wore the pha sin typically had long, coiled hair.
Princess Dara Rasmi, a royal consort from Chiang Mai, introduced the pha sin to the royal court. Although she wore it only within her private quarters, she became known for steadfastly preserving her Lanna identity. Her choice to wear the pha sin symbolised the cultural diversity within the Thai monarchy and promoted the visibility of Lanna heritage in Bangkok's courtly culture.
The Pha Sin's Transformation into a National Identity
After World War I, geopolitical shifts created a sense of identity insecurity among many nations. The fall of major empires such as Austro-Hungary and the Ottoman Empire led to the emergence of new nation-states, which sought to build unity through culture. Nationalism became a key tool in forging pride and cohesion, reinforced through language, history, traditional clothing, and rituals.
In Europe, many countries returned to regional dress to express national identity. In Austria and Germany, garments like the dirndl and lederhosen regained popularity. In Austria, Viktor von Geramb encouraged the modern adaptation of folk dress to revive national consciousness after the collapse of the Austro-Hungarian Empire.
Similarly, in Wales, rural women’s dress evolved into a recognised national costume by the 1880s, becoming widely worn at annual festivals such as the Eisteddfodau and on Saint David’s Day. Girls would wear this attire with pride, contributing to the formation of a distinctly Welsh cultural identity.
In Siam, although not initially a direct participant in the war, the kingdom’s entry into the conflict in 1917 as an Allied power under King Rama VI had significant implications. The deployment of Siamese volunteer troops to Europe and Siam’s position among the war’s victors elevated its status on the global stage. Domestically, however, Western cultural influence remained pervasive.
King Rama VI actively promoted the concept of "Thainess" alongside modernisation, using literature, sport, and fashion to foster national identity. Among his efforts was the encouragement of elite women to adopt the pha sin, once considered a regional garment, as a unifying national symbol for modern Siamese femininity.
เครื่องแบบนักเรียนโรงเรียนราชวิทยาลัยแห่งกรุงสยาม – สมัยสายสวลี ยุคปลายรัชกาลที่ ๕
เครื่องแบบนักเรียนโรงเรียนราชวิทยาลัยแห่งกรุงสยาม – สมัยสายสวลี ยุคปลายรัชกาลที่ ๕
ภาพที่สร้างสรรค์ด้วย AI ชุดนี้จัดทำขึ้นเพื่อเป็นงานจิตอาสาสาธารณะ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่ออนุรักษ์และถ่ายทอดภาพความทรงจำในยุครุ่งเรืองของโรงเรียนราชวิทยาลัย (King’s College) ซึ่งได้รับการสถาปนาขึ้นอีกครั้ง ณ สายสวลีสัณฐาคาร ในพระราชูปถัมภ์ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อวันที่ ๒๓ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๔๔๗
ในการนี้ พระองค์ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ใช้สถานที่ของ พระวิมาดาเธอ พระองค์เจ้าสายสวลีภิรมย์ กรมพระสุทธาสินีนาฏ ปิยมหาราชปดิวรัดา ซึ่งเป็นอาคารโรงเลี้ยงเด็ก ตำบลโรงเลี้ยงเด็ก ถนนบำรุงเมือง จังหวัดพระนคร เป็นที่ตั้งของโรงเรียน โดยเรียกกันในภายหลังว่า "สมัยสายสวลี" ตามชื่ออาคารใหญ่ ตึกสายสวลีสัณฐาคาร ซึ่งใช้เป็นสถานที่เรียน มีเวลาสอนเทอมละ ๔ เดือน และนักเรียนต้องเสียค่าเล่าเรียนเดือนละ ๔๐ บาทต่อคน หลักสูตรการเรียนการสอนในยุคนั้นครอบคลุมทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ โดยรับนักเรียนทั้งแบบอยู่ประจำและไป-กลับ
ภาพในชุดนี้ได้รับการออกแบบขึ้นจากข้อมูลของระเบียบเครื่องแต่งกายนักเรียนในสมัยนั้น ประกอบกับความรู้ด้านประวัติศาสตร์แฟชั่น เพื่อจำลองภาพเครื่องแต่งกายของนักเรียนสมัยรัชกาลที่ ๕ ตอนปลาย อย่างสมจริง อาทิ หมวก บอร์ซาลิโน (Borsalino) สีฟ้าประดับด้วยริบบิ้นกรอสเกรนสีชมพูอ่อน เสื้อราชปะแตนสีขาว กระดุมทอง และโจงกระเบนสีกรมท่า ตามระเบียบของโรงเรียนราชวิทยาลัย
ภาพเหล่านี้มุ่งหมายเพื่อร้อยเรียงจินตภาพของ "สมัยสายสวลี" ซึ่งถือเป็นยุคทองแห่งการฟื้นฟูราชวิทยาลัย ภายใต้การอำนวยการของ มิสเตอร์ เอ. ซี. คาร์เตอร์ อดีตพระอาจารย์ถวายพระอักษรในสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช (รัชกาลที่ ๖) ผู้วางรากฐานการศึกษาด้วยระบบ Public School ของอังกฤษ ซึ่งเป็นต้นแบบสำคัญในการปลูกฝังระเบียบวินัย ความเป็นผู้นำ และจิตวิญญาณแห่งความจงรักภักดีแก่ศิษย์ราชวิทยาลัย
โรงเรียนราชวิทยาลัยถือกำเนิดขึ้นจากพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่ทรงเล็งเห็นถึงความจำเป็นในการสร้างบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถ เพื่อรับมือกับความเปลี่ยนแปลงของโลกในยุคแห่งการล่าอาณานิคม นักเรียนในรุ่นแรกส่วนใหญ่เป็นเจ้านายและบุตรหลานข้าราชการระดับสูง ซึ่งภายหลังล้วนมีบทบาทสำคัญในการบริหารราชการแผ่นดิน และธำรงไว้ซึ่งเอกราชของชาติ
การจัดทำภาพชุดนี้เกิดขึ้นจากการสนทนากับ คุณวิญญูชนก แก้วนอก (ราชวิทย์ รุ่น ๑๖) นายทะเบียนสมาคมศิษย์เก่าราชวิทยาลัย และผู้จัดทำหอประวัติโรงเรียน ภ.ป.ร. ราชวิทยาลัยฯ ผมจึงอาสานำความรู้ด้านประวัติศาสตร์แฟชั่น และการอนุรักษ์เครื่องแต่งกาย มาผสานกับศักยภาพของเทคโนโลยี AI เพื่อสร้างสรรค์ภาพประวัติศาสตร์จำลองเหล่านี้ให้มีความเที่ยงตรงทั้งในด้านเครื่องแต่งกาย และบริบททางวัฒนธรรมของยุคสมัย
ผมขอมอบภาพชุดนี้แด่ศิษย์เก่า คณาจารย์ นักเรียน และผู้สนใจทุกท่าน ในฐานะสื่อกลางในการเชื่อมโยงอดีตและปัจจุบัน เพื่อจุดประกายความตระหนักรู้ในคุณูปการของราชวิทยาลัย และสืบสานแรงบันดาลใจแห่งการเรียนรู้จากสถาบันการศึกษาที่ทรงคุณค่าแห่งนี้
สวมใส่ความทันสมัย: หมวกโบ๊ตเตอร์กับบทสนทนาทางวัฒนธรรมของแฟชั่นสตรีสยามในสมัยต้นรัชกาลที่ ๖
สวมใส่ความทันสมัย: หมวกโบ๊ตเตอร์กับบทสนทนาทางวัฒนธรรมของแฟชั่นสตรีสยามในสมัยต้นรัชกาลที่ ๖
หมวกหนึ่งใบที่เปลี่ยนโลก: เมื่อเครื่องแต่งกายกลายเป็นภาษาทางวัฒนธรรม
ในโลกของการศึกษาแฟชั่นประวัติศาสตร์ตะวันตก มีเครื่องแต่งกายไม่กี่ชิ้นนักที่จะมีพลวัตทางความหมายได้มากมายเท่ากับ “หมวกโบ๊ตเตอร์” จากหมวกที่เคยเป็นเพียงหมวกฟางปีกแบนที่สวมโดยนักเรียนชายชาวอังกฤษและสมาชิกชมรมพายเรือในศตวรรษที่ 19 ซึ่งแฝงไว้ด้วยนัยยะของชนชั้นสูง ความสุภาพแบบผู้ดี และการมีเวลาว่างเพื่อการสันทนาการแบบผู้ดีอังกฤษ หมวกใบนี้ได้เดินทางข้ามเวลาและมหาสมุทร เพื่อกลายเป็นสัญลักษณ์ที่มีความหมายต่างออกไปจากความหมายดั้งเดิมอย่างสิ้นเชิง
เมื่อก้าวเข้าสู่ต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 หมวกโบ๊ตเตอร์ที่ดูเรียบง่ายและไร้พิษภัยในสายตาชายชั้นกลาง สตรีทั่วโลกกลับนำมาใช้และตีความใหม่ หมวกโบ๊ตเตอร์ไม่ได้เป็นเพียงของตกแต่งศีรษะ หากแต่กลายเป็นเครื่องหมายแห่งการตื่นรู้ทางสังคมของผู้หญิง เและเป็นเสมือนถ้อยคำแถลงเงียบๆ ว่า “เรากำลังเปลี่ยนแปลง” โดยไม่ต้องเปล่งเสียงใดๆ
จากสนามพายเรือสู่ขบวนการสิทธิสตรี: หมวกโบ๊ตเตอร์กับพลังเงียบของกลุ่มเรียกร้องสิทธิสตรี
ในช่วงยุคเอ็ดเวิร์ดเดียน (Edwardian Era ค.ศ. 1901–1910) หรือสมัยปลายรัชกาลที่ ๕ ต่อกับสมัยต้นของรัชกาลที่ ๖ ซึ่งเป็นยุคสุดท้ายก่อนสงครามโลกครั้งที่ 1 สตรีในยุโรปและอเมริกาเริ่มออกมาเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิของตนในพื้นที่สาธารณะ ไม่ว่าจะเป็นการศึกษา การทำงาน การแสดงความคิดเห็น หรือแม้กระทั่งสิทธิในการเลือกตั้ง ท่ามกลางการเคลื่อนไหวเหล่านี้ ภาษาแฟชั่นของผู้หญิงก็เปลี่ยนแปลงตามไปด้วยอย่างมีนัยสำคัญ
หมวกโบ๊ตเตอร์ในเวลานั้นไม่ได้จำกัดอยู่เพียงในการแข่งขันพายเรืออีกต่อไป หากแต่กลายเป็นส่วนหนึ่งของเครื่องแต่งกายในชีวิตประจำวันของผู้หญิง ไม่ว่าจะเป็นการเดินเล่น เรียนหนังสือ ทำงาน หรือการเดินขบวนทางการเมือง หมวกใบนี้มีรูปทรงราบเรียบ และทะมัดทะแมง ไม่มีขนนกหรือผ้าติดหมวกแบบในอดีต มันจึงกลายเป็นสัญลักษณ์ของ “สตรีผู้มีเหตุผลและทันสมัย” ผู้ที่พร้อมจะออกมายืนเคียงข้างบุรุษในพื้นที่ที่เคยถูกกันไว้เพียงสำหรับผู้ชายเท่านั้น
ในขบวนเคลื่อนไหวของกลุ่มซัฟฟราเจ็ต (Suffragettes) หรือกลุ่มนักเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิการเลือกตั้งของสตรี หมวกโบ๊ตเตอร์ปรากฏอยู่บนศีรษะของผู้หญิงผู้เคยสวมผ้าคลุมหน้าและหมวกที่เต็มไปด้วยขนนกและดอกไม้ เมื่อพวกเธอเลือกหมวกฟางใบที่เรียบง่ายแทนหมวกที่หรูหราเหมือนในอดีต นั่นคือการเลือก “อัตลักษณ์ใหม่” — ที่เรียบง่ายแต่มั่นคง สวยงามแต่ไม่ยอมจำนน
เมื่อแฟชั่นข้ามน้ำข้ามทะเล: หมวกโบ๊ตเตอร์ในสยาม
ณ ฟากหนึ่งของโลกที่ห่างไกลจากลอนดอน ราชอาณาจักรสยามในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 6 พ.ศ. 2453–2468) กำลังก้าวเข้าสู่ยุคใหม่ ทั้งในแง่การปกครอง การศึกษา และวัฒนธรรม ราชสำนักไทยในช่วงเวลานี้เปิดรับแนวคิดตะวันตกอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยเฉพาะในหมู่เจ้านายฝ่ายในและสตรีชั้นสูงซึ่งเป็นกลุ่มที่มีบทบาททางสังคมและวัฒนธรรมมากขึ้นเรื่อยๆ
หมวกโบ๊ตเตอร์มาถึงสยามไม่ใช่เพียงในฐานะของแฟชั่นนำเข้า แต่คือสัญลักษณ์ของการยอมรับอารยธรรมสากลพร้อมทั้งแสดงจุดยืนของสตรีสยามในยุคสมัยใหม่ ด้วยการจับคู่กับเสื้อลูกไม้ฝรั่งและโจงกระเบน หมวกใบนี้จึงกลายเป็นเครื่องหมายของ “ผู้หญิงไทยที่เข้าใจโลก” ผู้ที่เดินอยู่บนเส้นทางของการเปลี่ยนแปลง แต่ไม่ลืมรากเหง้าของตนเอง
ในโลกแฟชั่นตะวันตก ดีไซน์ของหมวกโบตเตอร์ ในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 ถึงต้นศตวรรษที่ 20 มีหลากหลายขนาดเพื่อรองรับทรงผมแบบ Gibson Girl ซึ่งมีลักษณะการเกล้าผมสูงและขนาดใหญ่ขึ้น สตรีสยามในช่วงต้นรัชกาลที่ 6 ก็เริ่มไว้ผมยาวตามแฟชั่นสตรีตะวันตก มักจะเกล้าผมให้สูงขึ้นเพื่อให้เข้ากับแฟชั่นสตรีในสมัยนั้น ซึ่งถือว่าเป็นการประยุกต์อย่างมีศิลป์ระหว่างแฟชั่นสากลและความงามแบบไทย
หมวกโบ๊ตเตอร์ ณ พระราชวังบางปะอิน: จินตนาการแฟชั่นเจ้านายฝ่ายในกับการพายเรือในสระบัว สมัยรัชกาลที่ ๕ ตอนปลาย (1890-1910)
หมวกโบ๊ตเตอร์ ณ พระราชวังบางปะอิน: จินตนาการแฟชั่นเจ้านายฝ่ายในกับการพายเรือในสระบัว สมัยรัชกาลที่ ๕
คอลเลกชัน Bang Pa-In Collection นี้ถือกำเนิดจากจินตนาการของผมต่อภาพเหตุการณ์สมมุติในราชสำนักไทยช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 เป็นภาพของเจ้านายฝ่ายหน้าและฝ่ายในในช่วงการแปรพระราชฐานไปยังพระราชวังบางปะอิน ณ พระนครศรีอยุธยา กำลังพายเรือท่ามกลางสระบัว กับบรรยากาศที่สงบ และงดงามในยามเช้าหรือบ่ายแก่ ๆ ท่ามกลางแสงอาทิตย์อันนุ่มนวลสะท้อนผิวน้ำ และเสียงกระซิบของสายลม รวมไปถึงกลิ่นอายแห่งศิลปะการแต่งกายอย่างไทยที่ผสมผสานกับสไตล์ตะวันตกได้อย่างลงตัว
ในภาพเหล่านี้ เจ้านายฝ่ายในสวมหมวกโบ๊ตเตอร์ (boater hat) ซึ่งเดิมทีเป็นเครื่องแต่งกายของสุภาพบุรุษในโลกตะวันตก หมวกทรงแบน ขอบตรง ทำจากฟางสานแข็ง ตกแต่งด้วยริบบิ้นสีเข้ม ถูกนำมาปรับใช้ร่วมกับเสื้อคอตั้งผ้าลูกไม้แบบวิกตอเรียน และพาดสะไบแพร พร้อมทั้งนุ่งโจงกระเบนตามธรรมเนียมนุ่งห่มสีประจำวัน เมื่อสวมใส่สำหรับกิจกรรมพายเรือในบริเวณพระราชวัง หมวกชนิดนี้จึงดูเข้ากันกับเครื่งแต่งกายอย่างประณีต งดงาม และร่วมสมัยอย่างยิ่ง
จุดเริ่มต้นของหมวกโบ๊ตเตอร์ในยุโรป
หมวกโบ๊ตเตอร์เกิดขึ้นในอังกฤษราวกลางคริสต์ศตวรรษที่ 19 โดยเป็นหมวกฟางสานชนิดแข็ง (sennit straw) ที่ออกแบบให้มีทรงแบน ขอบหมวกตรง และมักประดับด้วยริบบิ้นสีเข้ม หมวกชนิดนี้ได้รับความนิยมในหมู่นักเรียนชายของมหาวิทยาลัยชื่อดัง เช่น อ็อกซ์ฟอร์ด เคมบริดจ์ รวมถึงโรงเรียนมัธยมอย่าง Eton, Harrow และ Winchester โดยเฉพาะในกิจกรรมพายเรือและเดินเล่นในฤดูร้อน จนกลายเป็นหมวกยูนิฟอร์มของชมรมเรือในมหาวิทยาลัย
แม้เดิมทีจะเป็นสัญลักษณ์ของความสุภาพและกีฬา แต่ภายในไม่กี่ทศวรรษ หมวกโบ๊ตเตอร์ก็กลายเป็นของคู่กายสุภาพบุรุษผู้มีรสนิยมในช่วงฤดูร้อน โดยมักจับคู่กับเบลเซอร์ กางเกงลายทาง และรองเท้าสีขาว-ดำ (spectator shoes) แฟชั่นนี้แพร่กระจายไปยังยุโรปและอเมริกา พร้อมกับแนวคิด “leisure class” หรือชนชั้นผู้ใช้เวลาว่างอย่างมีรสนิยม
การรับอิทธิพลในสยาม: เจ้านายฝ่ายในกับแฟชั่นข้ามวัฒนธรรม
ในสมัยรัชกาลที่ ๕ ประเทศสยามได้เปิดรับแนวคิดและวัฒนธรรมตะวันตกอย่างมาก โดยเฉพาะในราชสำนัก การเสด็จเยือนยุโรปของพระบรมวงศานุวงศ์ การจ้างช่างภาพชาวต่างชาติ และการเรียนการสอนแบบตะวันตกในโรงเรียนหลวง ล้วนมีบทบาทในการหล่อหลอมความงามรูปแบบใหม่ในหมู่เจ้านายฝ่ายใน หมวกโบ๊ตเตอร์แม้จะมีที่มาจากโลกของบุรุษและกีฬากลางแจ้ง แต่ก็ถูกนำมาผสานกับความงามแบบไทยอย่างอ่อนช้อย กลายเป็นแฟชั่นที่สะท้อนทั้งการเรียนรู้วัฒนธรรมของโลก และการยืนหยัดในอัตลักษณ์ของตนเอง
AI กับงานสร้างสรรค์ทางวัฒนธรรม: ความท้าทายและการทดลอง
ภาพชุดนี้ไม่มีภาพต้นฉบับจริงใด ๆ เลย ทุกอย่างเริ่มต้นจากความคิดสร้างสรรค์และการทดลองทางเทคโนโลยี ผมใช้วิธีการฝึกโมเดล LoRA หลายชุดเพื่อให้ AI สามารถสร้างสรรค์ภาพสตรีไทยในสมัยรัชกาลที่ ๕ ที่สวมหมวกโบ๊ตเตอร์ได้อย่างแม่นยำและสมจริง
ขั้นแรก ผมใช้ LoRA ที่เคยฝึกไว้แล้วเกี่ยวกับแฟชั่นบุรุษไทยในยุครัชกาลที่ ๕ และ ๖ ที่สวมหมวกโบ๊ตเตอร์ จากนั้นจึงสร้างชุดข้อมูลใหม่ โดยผสมภาพชายสวมหมวก ภาพหญิงในยุคเดียวกันที่ไม่สวมหมวก และภาพหมวกโบ๊ตเตอร์ของจริง เพื่อให้ AI เรียนรู้รูปทรงหมวกและตำแหน่งการสวมใส่ เมื่อฝึกสำเร็จได้โมเดล LoRA ตัวนี้มา จึงสามารถสร้างภาพสตรีที่สวมหมวกได้อย่างถูกต้องตามหลักสรีระ
ต่อมา ผมนำภาพผลลัพธ์จาก LoRA แรกไปฝึกต่อใน LoRA ชุดที่สอง โดยใช้ภาพสุภาพบุรุษและสตรีที่สวมหมวกอย่างถูกต้อง ผสมกับภาพผู้คนที่พายเรือแจวแบบไทย และภาพสระบัว เพื่อให้ AI เข้าใจความเชื่อมโยงของบริบทในทางวัฒนธรรมและฉากหลังที่ต้องการ
สุดท้าย ผมนำโมเดลที่ฝึกแล้วนี้ไปร่วมใช้งานกับ LoRA อีกสองชุด – หนึ่งสำหรับบุรุษสวมหมวก และอีกหนึ่งสำหรับสตรีสวมหมวก – เพื่อให้ผลลัพธ์มีความสอดคล้องสมบูรณ์ทั้งในเชิงแฟชั่น โครงสร้างใบหน้า และความน่าเชื่อถือทางประวัติศาสตร์
หมวกโบ๊ตเตอร์: จากเครื่องแต่งกายสุภาพบุรุษ สู่แฟชั่นนำสมัยของเจ้านายฝ่ายในในสมัยรัชกาลที่ ๕
หมวกโบ๊ตเตอร์: จากเครื่องแต่งกายสุภาพบุรุษ สู่แฟชั่นนำสมัยของเจ้านายฝ่ายในในสมัยรัชกาลที่ ๕
หมวกโบ๊ตเตอร์ (Boater Hat) หรือ “หมวกฟางสานทรงแบน” คือหนึ่งในสัญลักษณ์แฟชั่นที่สะท้อนรสนิยมสากลในช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 และต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 แม้จะเริ่มต้นจากการเป็นหมวกสำหรับสุภาพบุรุษชาวอังกฤษในการพายเรือ แต่ในช่วงหนึ่งของยุคเอ็ดเวิร์เดียน (Edwardian Era) หมวกโบ๊ตเตอร์ก็ได้กลายเป็นแฟชั่นที่หญิงสาวในหลากหลายประเทศนำมาปรับใช้ รวมถึงในสยาม
ในจินตนาการของชุดภาพถ่ายครั้งนี้—ที่กรุงเทพฯ ถูกจินตนาการใหม่โดยคงสถาปัตยกรรมไทยไว้แต่จัดวางในบริบทและท่าทีแบบตะวันตก—เจ้านายฝ่ายในในสมัยรัชกาลที่ ๕ ได้ปรับใช้หมวกโบ๊ตเตอร์ให้เป็นส่วนหนึ่งของเครื่องแต่งกาย นับเป็นการแสดงออกถึงการเปิดรับอิทธิพลแฟชั่นตะวันตก และการมีบทบาททางวัฒนธรรมในฐานะชนชั้นนำที่กำลังนิยามอัตลักษณ์ใหม่ของชาติ
จุดเริ่มต้นของหมวกโบ๊ตเตอร์ในยุโรป
หมวกโบ๊ตเตอร์เกิดขึ้นในอังกฤษราวกลางคริสต์ศตวรรษที่ 19 โดยเป็นหมวกฟางสานชนิดแข็ง (sennit straw) ที่ออกแบบให้มีทรงแบน ขอบหมวกตรง และมักประดับด้วยริบบิ้นสีเข้ม หมวกชนิดนี้ได้รับความนิยมในหมู่นักเรียนชายของมหาวิทยาลัยชื่อดัง เช่น อ็อกซ์ฟอร์ด เคมบริดจ์ รวมถึงโรงเรียนมัธยมอย่าง Eton, Harrow และ Winchester โดยเฉพาะในกิจกรรมพายเรือและเดินเล่นในฤดูร้อน จนกลายเป็นหมวกยูนิฟอร์มของชมรมเรือในมหาวิทยาลัย
แม้เดิมทีจะเป็นสัญลักษณ์ของความสุภาพและกีฬา แต่ภายในไม่กี่ทศวรรษ หมวกโบ๊ตเตอร์ก็กลายเป็นของคู่กายสุภาพบุรุษผู้มีรสนิยมในช่วงฤดูร้อน โดยมักจับคู่กับเบลเซอร์ กางเกงลายทาง และรองเท้าสีขาว-ดำ (spectator shoes) แฟชั่นนี้แพร่กระจายไปยังยุโรปและอเมริกา พร้อมกับความนิยมในแนวคิด “leisure class” หรือชนชั้นผู้ใช้เวลาว่างอย่างมีสไตล์
การรับอิทธิพลในสยาม: เจ้านายฝ่ายในกับแฟชั่นข้ามวัฒนธรรม
ในสมัยรัชกาลที่ ๕ ประเทศสยามได้เปิดรับแนวคิดและวัฒนธรรมตะวันตกอย่างมาก โดยเฉพาะในราชสำนัก การเดินทางของพระบรมวงศานุวงศ์ไปยุโรป การใช้ช่างภาพฝรั่ง และการเรียนรู้แบบตะวันตกในโรงเรียนหลวง ล้วนมีส่วนทำให้แฟชั่นตะวันตกเริ่มเข้ามามีบทบาทในราชสำนักฝ่ายใน
หมวกโบ๊ตเตอร์แม้จะเป็นของสุภาพบุรุษ แต่เจ้านายฝ่ายในก็ได้นำมาปรับใช้ร่วมกับการแต่งกายแบบไทยประยุกต์ เช่น เสื้อคอตั้งลูกไม้แบบวิกตอเรียน รวมทั้งสะไบ และโจงกระเบน ตามธรรมเนียมนุ่งห่มสีตามวัน โดยเฉพาะในฉากริมแม่น้ำหรือในบริเวณวัง ที่กลายเป็นพื้นที่แห่งการเดินเล่น ถ่ายภาพ และแสดงออกถึงรสนิยม “ทันสมัย” ไม่แพ้สตรีตะวันตก
นุ่งห่มตามวัน: ธรรมเนียมแห่งรสนิยมในราชสำนัก
ในราชสำนักไทยสมัยรัชกาลที่ ๕ การแต่งกายของเจ้านายฝ่ายในและข้าราชสำนักสตรีมีการกำหนด “นุ่งห่มตามวัน” ซึ่งถือเป็นธรรมเนียมที่ทั้งสง่างามและเปี่ยมด้วยรสนิยม หลักฐานสำคัญปรากฏในวรรณกรรมเรื่อง สี่แผ่นดิน ซึ่งบรรยายการแต่งกายของชาววังในยุคของแม่พลอยไว้ว่า:
วันจันทร์ – นุ่งเหลืองอ่อน ห่มน้ำเงินอ่อน หรือบานเย็น, หากนุ่งน้ำเงินนกพิราบ ต้องห่มจำปาแดง
วันอังคาร – นุ่งสีปูน หรือม่วงเม็ดมะปราง ห่มโศก, หรือจะนุ่งโศก/เขียวอ่อน ต้องห่มม่วงอ่อน
วันพุธ – นุ่งสีถั่ว หรือสีเหล็ก ห่มจำปา
วันพฤหัสบดี – นุ่งเขียวใบไม้ ห่มแดงเลือดนก, หรือจะนุ่งแสด ห่มเขียวอ่อน
วันศุกร์ – นุ่งน้ำเงินแก่ ห่มเหลือง
วันเสาร์ – นุ่งเม็ดมะปราง ห่มโศก, หรือจะนุ่งผ้าลายพื้นม่วง ห่มโศก
วันอาทิตย์ – แต่งเหมือนวันพฤหัสบดี หรือจะนุ่งผ้าลายพื้นสีลิ้นจี่/เลือดหมู แล้วห่มโศกก็ได้
ธรรมเนียมนี้มิได้เป็นเพียงเรื่องของสี แต่สะท้อนถึงระบบความประณีตในราชสำนัก การจับคู่ผ้านุ่งกับผ้าห่มให้เหมาะกับวันและวาระ ตลอดจนฐานะและวัยของผู้สวมใส่ นับเป็นศิลปะแห่งการแต่งกายที่ฝังอยู่ในวิถีชีวิตของชนชั้นสูงในสยาม แฟชั่นของเจ้านายฝ่ายในจึงไม่เพียงแต่สะท้อนความงาม หากแต่แสดงออกถึงอัตลักษณ์ร่วมสมัยของหญิงไทยผู้มีการศึกษา เข้าใจโลก และพร้อมปรับใช้ความเป็นสากลกับความเป็นไทยอย่างสง่างาม
จินตนาการแห่งกรุงเทพฯ ที่ไม่เหมือนเดิม
ในคอลเลกชันภาพถ่ายนี้ กรุงเทพฯ ถูกนำเสนอในมุมที่คุ้นเคยแต่ไม่เหมือนเดิม ทั้งพระบรมมหาราชวัง พระที่นั่งอนันตสมาคม หรือพระที่นั่งจักรีมหาปราสาท กลับกลายเป็นฉากหลังของภาพฝันที่หญิงสาวในเครื่องแต่งกายไทยผสมตะวันตก ยืนสง่าอยู่ริมแม่น้ำหรือข้างรถม้าหรู
หมวกโบ๊ตเตอร์จึงกลายเป็นสัญลักษณ์เล็ก ๆ ที่บอกเล่าเรื่องใหญ่—เรื่องของแฟชั่นที่เชื่อมโยงโลก เรื่องของหญิงไทยผู้เปี่ยมรสนิยม และเรื่องของอดีตที่ยังมีชีวิตอยู่ในจินตนาการร่วมสมัย
ตัวอย่างภาพดาตาเซ็ตและวิธีการเทรนโมเดล AI Flux LoRA สำหรับแฟชั่นสมัยรัชกาลที่ ๗ ตอนปลาย (1930s)
ตัวอย่างภาพดาตาเซ็ตและวิธีการเทรนโมเดล AI Flux LoRA สำหรับแฟชั่นสมัยรัชกาลที่ ๗ ตอนปลาย (1930s)
ผมอยากแบ่งปันเวิร์กโฟลว์ที่ผมใช้ในตอนนี้ในการเสริมคุณภาพของภาพสำหรับการเตรียมฐานข้อมูลด้วย AI โดยขณะนี้ผมกำลังฝึกโมเดลที่เน้นแฟชั่นในยุค 1930s ซึ่งเริ่มต้นจากการใช้ภาพขาวดำจากการค้นคว้าในยุคนั้นเป็นพื้นฐาน ผมใช้ Flux Kontext ในการทำงาน แต่แทนที่จะใช้ใน ComfyUI ผมเลือกใช้ Freepik Edit เพราะเข้าถึงง่ายและสามารถทำได้ครบจบในที่เดียว ไม่ว่าจะเป็นการ Upscale หรือ Retouch ภาพ แอปนี้ใช้งานดีมากครับ — จบที่เดียวในแอ็ปเลย ไม่ต้องวุ่นวายใช้หลายแอ็ปทำคนละอย่าง
เป้าหมายของเวิร์กโฟลว์นี้คือการสร้างภาพผู้หญิงไทย/เอเชียที่สวมใส่เสื้อผ้าแฟชั่นในยุค 1930s ผมเริ่มต้นจากการใช้ฟังก์ชัน Edit ใน Freepik Edit เพื่อลงสีให้กับภาพต้นฉบับขาวดำ โดยใช้คำสั่งที่ระบุสีที่ต้องการให้ชัดเจน จากนั้นผมใส่คำสั่งเพิ่มเติมเพื่อเปลี่ยนใบหน้าของนางแบบจากสาวผมบลอนด์ให้กลายเป็นสาวเอเชียผมดำ ผลลัพธ์ออกมาดีมากครับ — ตอนนี้ภาพกลายเป็นหญิงสาวชาวเอเชียแล้ว แต่เนื่องจากภาพต้นฉบับมักจะไม่ค่อยคมชัด ผมจึงทำการ Upscale ต่อ
ในการอัปสเกล Freepik ใช้ engine ตัวเดียวกับ Magnific แต่ข้อดีมากๆ คือสามารถ upscale เป็นชุดได้ มากสุด 20 ภาพต่อหนึ่งชุด ผมตั้งค่าการแสดงผลเป็น soft portrait เลือกใช้ illusio engine และตั้งค่าพารามิเตอร์ทั้งหมดไว้ที่ 2 ซึ่งได้ภาพที่คมชัดสวยงาม แต่ใบหน้าของนางแบบในภาพที่เสร็จแล้วมักจะถูกแทนที่ด้วยใบหน้าจากโมเดลพื้นฐานของระบบ ซึ่งผมไม่ค่อยชอบนัก ดังนั้นขั้นตอนต่อไปคือการใช้ PicSi AI เพื่อ สลับใบหน้า ของนางแบบให้ตรงกับโมเดลที่ผมต้องการใช้ในชุดฐานข้อมูล
ขั้นตอนของภาพ:
ภาพที่ 1 – ภาพขาวดำต้นฉบับจากการค้นคว้า
ภาพที่ 2 – ระบายสีด้วย Freepik Edit พร้อมเปลี่ยนใบหน้าให้เป็นสาวเอเชียผมดำ
ภาพที่ 3 – อัปสเกลด้วย Freepik Edit ตอนนี้ภาพคมชัดขึ้น และเสื้อผ้าก็ดูเหมือนของจริง
ภาพที่ 4 – ภาพสุดท้ายหลังจากสลับใบหน้าด้วย PicSI AI ตอนนี้ภาพพร้อมใช้งานสำหรับชุดข้อมูลแล้ว
ภาพเหล่านี้เป็นตัวอย่างที่ผมเตรียมไว้เพื่อใช้ในการฝึก LoRA ตามเวิร์กโฟลว์นี้ หลังจากที่จัดการเปลี่ยนใบหน้าเสร็จเรียบร้อยแล้ว ผมยังทำการเรนเดอร์พื้นหลังใหม่ให้เป็นอาคารสถาปัตยกรรมโคโลเนียลในกรุงเทพฯ ที่มีอยู่จริงในยุค 1930s เพื่อให้สอดคล้องกับช่วงเวลารัชกาลที่ ๗
จากประสบการณ์การฝึก LoRA มาหลายชุด ผมพบว่า การสร้างธีมแฟชั่นที่มีบรรยากาศสมจริงในยุคนั้น จำเป็นอย่างยิ่ง ที่ต้องใส่ภาพของสถาปัตยกรรม ฉากหลัง และอารมณ์ของสถานที่ร่วมเข้าไปด้วย เพราะช่วยให้โมเดลเข้าใจ “บริบทของยุคสมัย” ได้ชัดเจน ไม่ใช่แค่เสื้อผ้าเท่านั้น แต่รวมถึงแสง สี เงา และบรรยากาศโดยรอบ
ในทุกๆ ชุดข้อมูลที่ผมฝึก ผมจะใส่ภาพประกอบแบบนี้เสมอ ดังนั้นภาพที่โมเดลสร้างออกมาจะมีทั้งแฟชั่นที่แม่นยำ และ “อารมณ์ของยุคสมัย” ที่ดูสมจริง ปัญหาคืออาคารในช่วงเวลานั้นมักมีการต่อเติม เช่น เดินสายไฟสมัยใหม่ หรือมีรถยนต์ยุคปัจจุบันจอดอยู่ ซึ่งต้องใช้เวลาในการรีทัชหรือเรนเดอร์ใหม่ให้เหมาะสมกับช่วงเวลาในอดีต
ในชุดภาพนี้ ผมตั้งใจให้เป็นแฟชั่นและบรรยากาศของกรุงเทพฯ ช่วงปลายรัชกาลที่ ๗ ซึ่งเป็นช่วงทศวรรษ 1930 โดยใช้ภาพที่ผ่านการคัดเลือกและเรนเดอร์อย่างประณีต เพื่อให้โมเดลสามารถเข้าใจภาพรวมของยุคนั้นได้ครบถ้วนและชัดเจน
หมวกโบ๊ตเตอร์: จากแฟชั่นอังกฤษสู่สัญลักษณ์ของชนชั้นสูงในสยามยุครัชกาลที่ 6
หมวกโบ๊ตเตอร์: จากแฟชั่นอังกฤษสู่สัญลักษณ์ของชนชั้นสูงในสยามยุครัชกาลที่ 6
ในยุคต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 เมื่อกระแสตะวันตกไหลบ่าเข้าสู่ราชสำนักสยาม หนึ่งในสัญลักษณ์ของการรับอารยธรรมและรสนิยมสมัยใหม่ก็คือ “หมวกโบ๊ตเตอร์” (Boater Hat) ซึ่งกลายเป็นหนึ่งในเครื่องแต่งกายของชนชั้นสูงชายสยามผู้ได้รับการศึกษาแบบตะวันตกและต้องการแสดงออกถึงรสนิยมสากล
จุดเริ่มต้นของหมวกโบ๊ตเตอร์ในโลกตะวันตก
หมวกโบ๊ตเตอร์ หรือที่รู้จักในอีกชื่อว่า "sennit hat" ถือกำเนิดขึ้นในอังกฤษช่วงกลางศตวรรษที่ 19 เป็นหมวกฟางทรงแข็ง ด้านบนแบน ปีกแบน และประดับด้วยริบบิ้นผ้ากรอสเกรน หมวกนี้เคยใช้ในกิจกรรมพายเรือของนักเรียนชายจากมหาวิทยาลัยชั้นนำของอังกฤษอย่างอ็อกซ์ฟอร์ดและเคมบริดจ์ จึงได้ชื่อว่า “boater” ตามกิจกรรม “boating” ซึ่งเป็นสันทนาการยอดนิยมของชายหนุ่มชนชั้นกลางในฤดูร้อน
หมวกโบ๊ตเตอร์แพร่หลายในหมู่ผู้ดีอังกฤษ โรงเรียนชายล้วนชื่อดังอย่าง Eton, Harrow, และ Winchester ต่างก็นำหมวกโบ๊ตเตอร์มาเป็นส่วนหนึ่งของเครื่องแบบ จนกลายเป็นสัญลักษณ์แห่งความสุภาพ เรียบร้อย และมีรสนิยมในฤดูร้อนอย่างชัดเจน
สยามในห้วงการเปลี่ยนผ่าน: การสร้างสรรค์ภาพแฟชั่นจากยุคต้นรัชกาลที่ ๗
สยามในห้วงการเปลี่ยนผ่าน: การสร้างสรรค์ภาพแฟชั่นจากยุคต้นรัชกาลที่ ๗
คอลเลกชันภาพ AI ชุดนี้ได้รับแรงบันดาลใจจากการวิจัยเชิงประวัติศาสตร์และภาพถ่ายต้นฉบับของ สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก และ สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ซึ่งผมได้ค้นคว้าไว้ โดยเน้นช่วงเวลาต้นรัชกาลที่ ๗ (พ.ศ. ๒๔๖๘–๒๔๗๓) (1920s) ที่สยามกำลังก้าวเข้าสู่ความเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมและสังคมอย่างสำคัญ
ในยุคนั้น ชายไทยที่รับราชการยังคงแต่งกายด้วยเครื่องแบบประจำราชการ ได้แก่ เสื้อราชปะแตนสีขาว โจงกระเบน และถุงเท้ายาวสีขาว เป็นเครื่องแต่งกายที่สะท้อนถึงเกียรติยศ ความมีระเบียบ และความผูกพันกับจารีตแห่งราชสำนักอย่างแน่นแฟ้น
ขณะเดียวกัน แฟชั่นสตรีในเมืองหลวงกลับเริ่มเคลื่อนไปตามกระแสสมัยนิยมจากตะวันตก ยุค Art Deco พัดพาความมั่นใจ เสรีภาพ และความกล้าหาญทางการแสดงออกมาสู่สตรีไทย ผ่านชุดเดรสทรงตรง เอวต่ำ ผมบ๊อบสั้น รองเท้าเตี้ยมีส้น และกระเป๋าถือหนังขนาดเล็ก เส้นสายเรขาคณิตของซิลลูเอ็ตในยุคนี้แม้จะลดทอนความอ่อนช้อยแบบดั้งเดิม แต่กลับเผยให้เห็นจิตวิญญาณใหม่ของหญิงสาวในโลกสมัยใหม่
เมื่อเวลาค่อย ๆ เคลื่อนไปสู่ปลายทศวรรษ ๒๔๗๐ รูปทรงแบบเลขาคณิตของแฟชั่นยุคแรกเริ่มก็เริ่มเปลี่ยนไปสู่รูปทรงที่เข้ารูปและเน้นส่วเว้าและส่วนโค้งของร่างกาย เสื้อผ้าของหญิงสาวเริ่มมีลูกไม้ ลายปัก ริ้วระบาย และชายกระโปรงที่ยาวลงจนถึงระดับน่อง โทนสีฟ้าอ่อน เขียวมินต์ ชมพูหม่น และครีม กลายเป็นทางเลือกที่สะท้อนรสนิยมที่ละเมียดละไมและความละเมียดละไมในกิริยาของหญิงไทยยุคใหม่ได้อย่างสง่างาม
คอลเลกชันนี้มิได้เป็นเพียงภาพที่สร้างขึ้นจาก AI เท่านั้น หากแต่คือการจินตนาการใหม่ที่ตั้งอยู่บนรากฐานของภาพถ่ายประวัติศาสตร์จริง ถ่ายทอดด้วยความเคารพและความหลงใหลในยุคสมัยหนึ่งของสยาม ที่เต็มไปด้วยเสน่ห์ ความละเมียดละไม และเอกลักษณ์ที่ยังคงจับใจไม่เสื่อมคลาย
การเตรียมภาพภาพแฟชั่นสำหรับการเทรนโมเดล AI Flux LoRA
การเตรียมภาพภาพแฟชั่นสำหรับการเทรนโมเดล AI Flux LoRA
เวิร์กโฟลว์ของผมในการเตรียมภาพภาพแฟชั่นสมัยรัชกาลที่ ๗ ตอนปลาย (1930s) สำหรับการเทรนโมเดล AI Flux LoRA
ผมอยากแบ่งปันเวิร์กโฟลว์ที่ผมใช้ในตอนนี้ในการเสริมคุณภาพของภาพสำหรับการเตรียมฐานข้อมูลด้วย AI โดยขณะนี้ผมกำลังฝึกโมเดลที่เน้นแฟชั่นในยุค 1930s ซึ่งเริ่มต้นจากการใช้ภาพขาวดำจากการค้นคว้าในยุคนั้นเป็นพื้นฐาน ผมใช้ Flux Kontext ในการทำงาน แต่แทนที่จะใช้ใน ComfyUI ผมเลือกใช้ Freepik Edit เพราะเข้าถึงง่ายและสามารถทำได้ครบจบในที่เดียว ไม่ว่าจะเป็นการ Upscale หรือ Retouch ภาพ แอปนี้ใช้งานดีมากครับ — จบที่เดียวในแอ็ปเลย ไม่ต้องวุ่นวายใช้หลายแอ็ปทำคนละอย่าง
การสร้างสรรค์ภาพแฟชั่นชายไทยยุค 1920 ด้วย LoRA: ขั้นตอนการทำงานทีละขั้น
การสร้างสรรค์ภาพแฟชั่นชายไทยยุค 1920 ด้วย LoRA: ขั้นตอนการทำงานทีละขั้น
การสร้างลุคที่ถูกต้องในแต่ละยุคสมัยไม่ใช่เพียงแค่ความสวยงามเท่านั้น แต่ยังเกี่ยวข้องกับความละเอียดอ่อนทางวัฒนธรรม บริบททางประวัติศาสตร์ และความสนุกของการค้นหา นี่คือวิธีที่ผมสร้างโมเดล LoRA เพื่อสร้างแฟชั่นชายในสยามยุค 1920 (สมัยรัชกาลที่ 7) ตั้งแต่การวิจัยจนถึงการเรนเดอร์ขั้นสุดท้าย
แฟชั่นตะวันตกในสยาม: แต่งกายทันสมัยในสมัยรัชกาลที่ ๗
แฟชั่นตะวันตกในสยาม: แต่งกายทันสมัยในสมัยรัชกาลที่ ๗
แฟชั่น AI คอลเลกชันนี้สร้างขึ้นโดยอิงจากการฝึก LoRA ทั้งสามชุด ได้แก่ แฟชั่นสุภาพบุรุษยุค 1920s, แฟชั่นสุภาพสตรียุค 1920s และ หมวก–เครื่องประดับของทั้งสองเพศในยุคนั้น ก่อนจะปรับระดับน้ำหนักของแต่ละโมเดลให้เกิดความกลมกลืน จนได้ผลลัพธ์เป็นภาพจินตนาการของ “สยามในยุคที่เปิดรับแฟชั่นตะวันตกอย่างสมบูรณ์”
ลองนึกภาพสุภาพสตรีไทยในเดรสผ้าฝ้ายพริ้วเบา สีชมพูพาสเทลเดินเคียงคู่กับสุภาพบุรุษในสูทสามชิ้นสีกรมท่า สวมหมวกฟางทรงแบนปีกแข็งที่เรียกกันว่า Boater Hat อย่างสง่างาม ทั้งคู่กำลังยิ้มให้กันขณะเดินผ่านพระบรมหาราชวัง ฟังดูเหมือนฉากในภาพยนตร์ย้อนยุคใช่ไหมครับ? แต่ภาพเหล่านี้ไม่ใช่ภาพถ่ายจากอดีต หากเป็นภาพจำลองที่สร้างขึ้นด้วย AI โดยอาศัยการฝึกโมเดลเฉพาะทาง (LoRA) ถึงสามชุด เพื่อจับกลิ่นอายแฟชั่นของยุค 1920s ทั้งฝั่งหญิง ฝั่งชาย และหมวก–เครื่องประดับที่เป็นหัวใจของลุคนี้ในยุคนั้น
ในช่วงต้นรัชกาลที่ ๗ (พ.ศ. ๒๔๖๘–๒๔๗๓) ขณะที่พระนครกำลังปรับตัวเข้าสู่ความเป็นสมัยใหม่ โลกแฟชั่นของสุภาพสตรีก็เคลื่อนไปตามแฟชั่นจากยุโรป ยุค Art Deco พัดพาความมั่นใจและเสรีภาพเข้าสู่สยาม ด้วยการรับการแต่งกายแบบตะวันตกด้วยชุดเดรสทรงตรง และเอวตำ่ ซึ่งเป็นซิลลูเอ็ตที่ลดทอนส่วนเว้าส่วนโค้งของร่างกาย แฟชั่นสไตล์นี้เน้นเส้นสายเรขาคณิตแทนความอ่อนช้อยแบบเดิม แต่เมื่อกาลเวลาคืบเข้าสู่ปลายทศวรรษ ความแข็งกร้าวของโครงชุดก็ค่อย ๆ หลอมละลายกลายเป็นความอ่อนโยน เสื้อผ้าของหญิงสาวเริ่มมีระบาย ลูกไม้ ลายปัก และชายกระโปรงที่ยาวลงจนถึงระดับกลางน่อง เดรสโทนสีครีม ฟ้าหม่น เขียวอ่อน และชมพูอ่อนที่เคยดูเรียบง่าย กลับเต็มไปด้วยรายละเอียดเล็ก ๆ ที่บอกเล่ารสนิยมและกิริยามารยาทอันละเมียดละไมของหญิงไทยในโลกใหม่
ด้านฝั่งสุภาพบุรุษ แฟชั่นยุค 1920s ก็ไม่ยอมน้อยหน้าเลยครับ ภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 เสื้อผ้าผู้ชายเริ่มผ่อนคลายจากความเป็นทางการแบบเดิม ๆ แต่ยังคงไว้ซึ่งความเนี้ยบและพิถีพิถัน ชุดสูทสามชิ้นยังคงเป็นหัวใจสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นเสื้อกั๊กเข้ารูป กางเกงเอวสูง หรือแจ็กเก็ตทรงไหล่กว้าง เสริมด้วยเสื้อเชิ้ตปกแข็งแบบ club collar หรือ wing collar ที่ดูคลาสสิกสุด ๆ แถมยังมีผ้าเช็ดหน้าพับไว้ในกระเป๋าเสื้อ สูทบางชุดมีเข็มกลัดเล็ก ๆ ตรงเนกไท หรือดอกไม้กลัดหน้าอกด้วยนะครับ ส่วนรองเท้าก็ต้องขัดมันเงา หรือลองแบบทูโทน two-tone brogues เพิ่มความมีสไตล์
แต่สิ่งที่ดึงดูดสายตาที่สุดในลุคชาย–หญิงของคอลเลกชันนี้ คงหนีไม่พ้น Boater Hat หรือ “หมวกโบ๊ตเตอร์” หมวกฟางแข็งปีกแบนที่ถือกำเนิดในอังกฤษช่วงกลางศตวรรษที่ 19 จากกิจกรรมพายเรือของนักเรียนมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์และอ็อกซ์ฟอร์ด หมวกนี้กลายเป็นสัญลักษณ์แห่งความมีรสนิยมสำหรับสุภาพบุรุษในฤดูร้อน และไม่ช้านานก็กลายเป็นหมวกยอดนิยมในหมู่นักเรียนชายโรงเรียนดังอย่าง Eton, Harrow และ Winchester แน่นอนว่าหมวกนี้เดินทางมาถึงสยามด้วย—ผ่านเจ้านาย ขุนนาง และนักเรียนนอกที่เดินทางกลับจากยุโรป โดยเฉพาะอย่างยิ่งในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๖) ผู้ทรงศึกษา ณ สถาบันเหล่านั้นด้วยพระองค์เอง
การจำลองภาพเหล่านี้ผ่าน AI จึงไม่ได้เป็นเพียงการสร้าง “ภาพในฝัน” หากแต่เป็นการต่อยอดจากรากฐานทางประวัติศาสตร์ที่มีอยู่จริงในสยามยุคเปลี่ยนผ่าน เราอาจไม่พบภาพถ่ายของหญิงไทยสวมเดรส Art Deco เคียงคู่ชายไทยในสูทพร้อมหมวกโบ๊ตเตอร์ในพระราชวังอย่างชัดเจนในอดีต แต่เราก็รู้ว่าแฟชั่นแบบนี้มีอยู่จริงในสมัยรัชกาลที่ ๖ ถึงรัชกาลที่ ๗ ซึ่งการแต่งกายแบบนี้ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากเจ้านาย ข้าราชการ นักเรียนเก่าอังกฤษ หรือชนชั้นนำที่เปิดรับวัฒนธรรมตะวันตก
คอลเลกชันชุดเดรสกลางวันแฟชั่นสตรีไทย ยุค 1920s — ต้นรัชกาลที่ ๗ (พ.ศ. ๒๔๖๘)
คอลเลกชันชุดเดรสกลางวันแฟชั่นสตรีไทย ยุค 1920s — ต้นรัชกาลที่ ๗ (พ.ศ. ๒๔๖๘)
ออกแบบเพื่อความเรียบง่ายและสวมใส่สบายในชีวิตประจำวัน
เมื่อกรุงเทพฯ ก้าวเข้าสู่รัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวในปี พ.ศ. ๒๔๖๘ โลกแฟชั่นของสุภาพสตรีก็กำลังเปลี่ยนผ่านไปสู่ยุคใหม่เช่นกัน ยุคอาร์ตเดโค (Art Deco) ได้มอบภาพลักษณ์ของหญิงสาวยุคใหม่ที่เปี่ยมด้วยความมั่นใจและทันสมัย ผ่านโครงชุดทรงเรขาคณิตที่ลดทอนส่วนเว้าส่วนโค้งของเรือนร่าง เพื่อสะท้อนถึงอิสรภาพและความเท่าเทียมในโลกสมัยใหม่
อย่างไรก็ดี เมื่อกาลเวลาล่วงเข้าสู่ช่วงปลายทศวรรษ 1920 รูปทรงของชุดสุภาพสตรีเริ่มเปลี่ยนแปลงไปอีกครั้ง สู่นิยามใหม่ที่อ่อนโยนและละมุนละไมมากยิ่งขึ้น กระโปรงที่เคยสั้นเหนือเข่าค่อย ๆ ยาวลงมาจนถึงระดับกลางน่อง และแนวเอวที่เคยต่ำเกือบถึงสะโพกก็ค่อย ๆ เลื่อนกลับขึ้นมาอยู่ในตำแหน่งเอวธรรมชาติดังเดิม
คอลเลกชันภาพ AI ชุดนี้ ได้รับการออกแบบขึ้นโดยจินตนาการว่า หากสุภาพสตรีไทยในช่วงต้นรัชกาลที่ ๗ (พ.ศ. ๒๔๖๘–๒๔๗๓) ได้เปิดรับแฟชั่นตะวันตกอย่างเต็มรูปแบบ—โดยเฉพาะแฟชั่นสไตล์อาร์ตเดโคที่กำลังได้รับความนิยมในยุโรปและอเมริกา—ภาพที่ได้ก็คงจะเป็นเช่นนี้
แนวคิดในการออกแบบครั้งนี้ คือการสร้างสรรค์เครื่องแต่งกายที่สวมใส่ง่าย สบาย เหมาะกับการใช้ในชีวิตประจำวัน โดยเน้นเสื้อผ้าฝ้ายแบบเรียบง่าย เดรสทรงตรงที่ปรับให้เหมาะกับสรีระของหญิงไทย ด้วยรายละเอียดที่พอเหมาะพอควร ไม่รุงรังหรือฟู่ฟ่า แต่ยังคงไว้ซึ่งเสน่ห์ของความเป็นสตรี
ระหว่างปี พ.ศ. ๒๔๗๑–๒๔๗๓ แนวโน้มแฟชั่นเริ่มกลับมาให้ความสำคัญกับความอ่อนช้อยของเรือนร่าง แม้ยังไม่มีโครงรัดรูปเช่นในยุคก่อน แต่เริ่มมีการตกแต่งด้วยรายละเอียดเล็ก ๆ ที่ช่วยขับเน้นความงามแบบผู้หญิง เช่น การจับระบายที่ช่วงอก การใช้ลูกไม้ที่ปลายแขน และลวดลายปักดอกไม้ที่จัดวางอย่างประณีต
ชุดเดรสในคอลเลกชันนี้สะท้อนสไตล์ที่กำลังอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่าน แม้ยังมีกลิ่นอายของอาร์ตเดโคในโครงชุด แต่ความแข็งกระด้างถูกแทนที่ด้วยเนื้อผ้าที่พริ้วไหว เช่น ผ้าชีฟอง ผ้าฝ้ายเนื้อนุ่ม ในโทนสีอ่อนละมุน เช่น สีครีม ชมพูพาสเทล ฟ้าหม่น และเขียวอ่อน ลวดลายปักอันประณีตช่วยเพิ่มความประณีตงดงามในแบบหญิงไทย
องค์ประกอบสำคัญของการออกแบบ ได้แก่:
หมวกปีกกว้าง ตกแต่งด้วยริบบิ้นสีตัดหรือดอกไม้ สะท้อนกลิ่นอายแบบผู้ดีอังกฤษ
ถุงมือผ้าซาตินหรือถุงมือผ้าลูกไม้สีงาช้าง เป็นสัญลักษณ์แห่งความละเมียดละไมในการแต่งกาย
สร้อยไข่มุกและทรงผมดัดลอนอ่อน คือรายละเอียดเล็ก ๆ ที่ช่วยเติมเต็มภาพลักษณ์อันอ่อนช้อยและสง่างาม
ภาพหญิงไทยในคอลเลกชันนี้เป็นภาพในจินตนาการของผู้หญิงที่แต่งกายเรียบง่ายในวันพักผ่อนอยู่บ้าน—ไม่เพียงแต่สะท้อนรสนิยม หากยังแสดงให้เห็นถึงสถานภาพทางสังคมและบทบาทของสตรีไทยในโลกที่กำลังเปลี่ยนแปลง
แฟชั่นในภาพเหล่านี้คือภาพแทนของช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนผ่าน—ช่วงเวลาที่โครงเสื้อทรงเรขาคณิตของยุคอาร์ตเดโครวมทั้งความอ่อนหวานของรูปทรงสตรี และความทันสมัยอย่างสง่างาม เป็นช่วงเวลาที่ความสมัยใหม่และวัฒนธรรมดั้งเดิมสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างกลมกลืน และหากสุภาพสตรีไทยในยุคนั้นได้เปิดรับแฟชั่นตะวันตกอย่างเต็มรูปแบบ ภาพที่เราได้เห็นนี้ก็คงไม่ไกลเกินจริง
จากเดียนเบียนฟูถึงเพชรบุรี: ฟื้นภาพสตรีไทยทรงดำด้วย AI จากรูปถ่ายสมัยรัชกาลที่ 5
จากเดียนเบียนฟูถึงเพชรบุรี: ฟื้นภาพสตรีไทยทรงดำด้วย AI จากรูปถ่ายสมัยรัชกาลที่ 5
แรงบันดาลใจและจุดเริ่มต้นของโปรเจกต์นี้
“ไทยทรงดำ ลาวโซ่ง หรือ ไทยโซ่ง” หมายถึงกลุ่มชาติพันธุ์ที่พูดภาษาไทยกลุ่มหนึ่ง ซึ่งคนไทยในอดีตมักเรียกว่า ลาว หรือ ลาวโซ่ง เนื่องจากพวกเขาอพยพมาจากเมืองเดียนเบียนฟู ทางตอนเหนือของประเทศเวียดนาม ผ่านลาว แล้วเข้ามาตั้งถิ่นฐานในประเทศไทย
คนกลุ่มนี้นิยมแต่งกายด้วยเสื้อผ้าสีดำ จึงเรียกกันว่า ไทยทรงดำ ตามลักษณะการแต่งกาย ส่วนคำว่า โซ่ง หรือ ซ่ง นั้น เชื่อกันว่ามีรากศัพท์จากคำว่า “ซ่วง” หรือ “ทรง” ที่แปลว่า “กางเกง” ในภาษาท้องถิ่นเดิม พวกเขาจึงมีเอกลักษณ์เฉพาะทั้งด้านภาษา เครื่องแต่งกาย และวัฒนธรรมที่สืบทอดกันมายาวนาน
ผมได้รับแรงบันดาลใจในการสร้างภาพชุดนี้จาก รูปภาพขาวดำต้นฉบับในสมัยรัชกาลที่ 5 ซึ่งถ่ายในช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 รูปภาพเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงความงดงามของผู้หญิงไทดำในยุคนั้น ทั้งความเรียบง่ายในท่วงท่า ความละเอียดในเครื่องแต่งกาย
รูปภาพเหล่านั้นไม่เพียงเป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ แต่ยังถ่ายทอดอัตลักษณ์ของผู้หญิงไทยทรงดำในอดีตได้อย่างทรงคุณค่า ผมจึงนำรูปภาพเหล่านี้มาใช้เป็นชุดข้อมูลในการฝึกโมเดล AI เพื่อสร้าง รูปภาพใหม่ ที่จำลองภาพลักษณ์ของสตรีไทยทรงดำขึ้นมาอีกครั้ง โดยยึดโยงกับข้อมูลทางประวัติศาสตร์และความเข้าใจทางวัฒนธรรม แม้ประวัติศาสตร์จะกล่าวว่าชาวไทยทรงดำแต่งกายด้วยสีดำล้วน แต่ในผลงานชุดนี้ ผมเลือกใช้ สีครามเข้ม แทน เพื่อแทนความหมายของ คราม ซึ่งเป็นสีจากการย้อมผ้าด้วยวัสดุธรรมชาติที่มีมาแต่โบราณ สีครามจึงเป็นสัญลักษณ์ของความลุ่มลึก ความมั่นคง และความเป็นรากเหง้าในวิถีของชาวไทดำ
ประวัติการอพยพของชาวไทดำ
ชาวไทดำอพยพเข้าสู่ดินแดนไทยหลายครั้งในประวัติศาสตร์ โดยส่วนใหญ่เป็นผลจากสงคราม การกวาดต้อน และเหตุการณ์การเมืองที่เกิดขึ้นทั้งในเวียดนามและลาว
ในสมัยรัชกาลที่ 3 พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว เจ้าอนุวงศ์แห่งลาวเวียงจันทน์ได้ยกทัพไปตีเมืองของชาวไทดำและกวาดต้อนครัวไทดำลงมายังกรุงเทพฯ แล้วทูลขอแลกตัวกับชาวลาวเวียงจันทน์ที่ถูกกวาดต้อนในสมัยกรุงธนบุรี พร้อมทั้งขอให้อาณาจักรลาวเวียงจันทน์เป็นเอกราช แต่พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าฯ ไม่ทรงอนุญาต เพราะเกรงว่าหากยอม อาจมีชนกลุ่มอื่นเอาอย่าง ทำให้เจ้าอนุวงศ์กลับไปเวียงจันทน์และเริ่มก่อกบฏ
ในช่วงปี พ.ศ. 2369–2371 เจ้าอนุวงศ์ได้ก่อกบฏกับสยาม กองทัพไทยจึงขึ้นไปปราบและนำครัวชาวไทดำกลับมายังสยามอีกครั้ง โดยจอมพลเจ้าพระยาสุรศักดิ์มนตรีได้บันทึกไว้ในคราวยกทัพปราบฮ่อในสมัยรัชกาลที่ 5 พ.ศ. 2430 ว่า
“พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เจ้าพระยาธรรมาภิราษฎร์ยกกองทัพขึ้นมาเมืองแถง จัดราชการเรียบร้อยแล้ว ได้เอาครัวเมืองแถงและสิบสองจุไท ซึ่งเป็นไทดำ ลงมากรุงเทพฯ เป็นอันมาก... แล้วพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าฯ ได้โปรดเกล้าฯ ให้พวกไทดำเหล่านั้นไปตั้งภูมิลำเนา ณ เมืองเพชรบุรี จนได้ชื่อว่าลาวซ่ง”
จากหลักฐานการอพยพดังกล่าว แสดงให้เห็นว่าเพชรบุรีเป็นจังหวัดแรกที่ชาวไทยทรงดำเข้ามาตั้งถิ่นฐาน โดยเฉพาะบริเวณอำเภอเขาย้อย ซึ่งมีภูมิประเทศคล้ายบ้านเดิมของพวกเขาในแถบภูเขาสิบสองจุไท
คำบอกเล่าของคนไทยทรงดำรุ่นหลังยังระบุว่า พวกเขาเดินทางโดยทางเรือ มาตั้งถิ่นฐานที่ตำบลท่าแร้ง อำเภอบ้านแหลม ก่อนจะค่อย ๆ ย้ายเข้าสู่พื้นที่ภูเขาทางอำเภอเขาย้อย และแพร่กระจายต่อไปยังจังหวัดต่าง ๆ เช่น นครปฐม ราชบุรี สุพรรณบุรี พิจิตร พิษณุโลก ชุมพร และสุราษฎร์ธานี ซึ่งชาวไทยทรงดำในแต่ละพื้นที่ก็มักจะระบุว่าบรรพบุรุษของตนมาจากเพชรบุรีเป็นหลัก
ระหว่างปี พ.ศ. 2376–2378 ยังเกิดศึกกับญวนในหัวพันห้าทั้งหกและเมืองพวน เมื่อสยามมีชัย ก็ได้กวาดต้อนชาวพวนและชาวไทดำลงมายังกรุงเทพฯ อีกระลอก
ในปี พ.ศ. 2379–2381 หลังการสิ้นพระชนม์ของเจ้าอนุวงศ์ ราชวงศ์ลาวเวียงจันทน์ล่มสลาย หัวเมืองลาวจึงขึ้นตรงต่อสยาม อุปราชหลวงพระบางได้ยกทัพไปตีเมืองของชาวไทดำ และนำครัวไทดำลงมาถวายกรุงเทพฯ เป็นเครื่องราชบรรณาการ
ในสมัยรัชกาลที่ 5 เมื่อเกิดกบฏฮ่อ พวกฮ่อได้รุกรานเผาทำลายเมืองของชาวไทดำในสิบสองจุไท เมืองแถง และหัวเมืองลาวหลายแห่ง ชาวไทดำบางส่วนจึงอพยพลงมาพึ่งพระบรมโพธิสมภารที่หลวงพระบางและเวียงจันทน์ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงทรงโปรดให้นำครัวไทดำเหล่านี้เข้ามาตั้งถิ่นฐานในสยาม ถือเป็นการอพยพรุ่นสุดท้ายในประวัติศาสตร์
การดำรงอยู่ของวัฒนธรรมไทดำ
แม้เวลาจะผ่านไปหลายร้อยปี แต่ชาวไทยทรงดำยังคงรักษาภาษา เครื่องแต่งกาย และประเพณีของตนไว้อย่างเข้มแข็ง พวกเขายังคงใช้ผ้าทอมือ เครื่องประดับเงิน ผ้าคาดอก และการสวม ผ้าโพกหัว ซึ่งเป็นเอกลักษณ์เฉพาะ และยังคงมีเทศกาล งานประเพณี และการละเล่นพื้นบ้านที่แสดงให้เห็นถึงความภาคภูมิใจในรากเหง้า
โปรเจกต์ AI นี้จึงไม่ใช่เพียงการสร้างรูปภาพใหม่ แต่เป็นการถ่ายทอดเรื่องเล่าและตัวตนของผู้หญิงไทยทรงดำ ผ่านสายตาแห่งปัญญาประดิษฐ์ ที่เรียนรู้จากอดีตเพื่อเข้าใจปัจจุบัน และเชื่อมโยงไปสู่อนาคตด้วยความเคารพ
จินตนาการแฟชั่นบุรุษแบบตะวันตกในสมัยรัชกาลที่ ๖ และหมวกโบ๊ตเตอร์
จินตนาการแฟชั่นบุรุษแบบตะวันตกในสมัยรัชกาลที่ ๖ และหมวกโบ๊ตเตอร์
ทศวรรษ 1920 คือช่วงเวลาแห่งความเปลี่ยนแปลงในโลกของแฟชั่นผู้ชาย เครื่องแต่งกายสะท้อนความสง่างาม ความมีโครงสร้าง และวิถีชีวิตที่เปิดรับความสบายมากขึ้น ภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 ผู้ชายเริ่มลดความเป็นทางการของการแต่งกายลง แต่ยังคงรักษาความเนี้ยบและพิถีพิถันแบบสุภาพบุรุษไว้ ชุดสูทยังคงเป็นศูนย์กลางของเครื่องแต่งกาย แต่มีการปรับรูปทรงและเลือกใช้ผ้าที่เหมาะกับฤดูกาล โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงฤดูร้อนและกิจกรรมนันทนาการกลางแจ้ง
ในยุคนี้ หมวกใบหนึ่งที่โดดเด่นขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัดคือ หมวกโบ๊ตเตอร์ (Boater Hat) ซึ่งเป็นหมวกฟางทรงแข็ง มีส่วนบนแบน ปีกแบน และตกแต่งด้วยริบบิ้นผ้ากรอสเกรน หมวกชนิดนี้กลายเป็นสัญลักษณ์ของการแต่งกายที่สุภาพเรียบร้อยในช่วงฤดูร้อน และยังสะท้อนภาพลักษณ์ของชายหนุ่มชนชั้นกลางผู้มีรสนิยมอีกด้วย
แฟชั่นชายยุค 1920: องค์ประกอบสำคัญ
ชุดสูท: ชุดสูทสามส่วนยังคงเป็นมาตรฐาน โดยมีกางเกงเอวสูง ขากว้าง เสื้อกั๊กเข้ารูป และเสื้อสูททรงไหล่กว้าง ผ้าที่ใช้มีทั้งผ้าขนสัตว์ในฤดูหนาว และผ้าลินินหรือผ้าระบายอากาศดีสำหรับฤดูร้อน
เสื้อเชิ้ตและปกเสื้อ: นิยมเสื้อสีขาวหรือสีอ่อน โดยปกเสื้อเป็นแบบถอดเปลี่ยนได้ เช่น ปกมนแบบ “คลับ คอลลาร์” (club collar) หรือปกแหลมแบบดั้งเดิม (spearpoint collar) ในช่วงกลางทศวรรษเริ่มมีการใช้ปกอ่อนที่สะดวกสบายมากขึ้น
เนกไทและเครื่องประดับ: ลวดลายบนเนกไทมีความกล้าหาญ เช่น ลายทาง ลายศิลปะแบบ Art Deco พร้อมด้วยผ้าเช็ดหน้ากระเป๋า เข็มกลัดเนกไท และดอกไม้กลัดหน้าอก
รองเท้า: นิยมรองเท้าหนังผิวมัน หรือแบบสองสี (two-tone brogues)
หมวก: เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ในการแต่งกายของชายยุคนั้น หมวกเฟโดราและฮอมบวร์กใช้ในฤดูหนาวหรือในโอกาสทางการ ส่วนหมวกโบ๊ตเตอร์คือเครื่องแต่งกายสำหรับฤดูร้อนที่ได้รับความนิยมสูงสุด
หมวกโบ๊ตเตอร์: จากริมแม่น้ำสู่สัญลักษณ์แฟชั่นสากล
หมวกโบ๊ตเตอร์ หรือที่รู้จักกันอีกชื่อว่า “sennit hat” ถือกำเนิดขึ้นในอังกฤษช่วงกลางศตวรรษที่ 19 โดยเป็นหมวกฟางแบบแข็งที่ใช้ในกิจกรรมพายเรือของนักเรียนชายตามมหาวิทยาลัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งใน มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ และ อ็อกซ์ฟอร์ด
แม้จะไม่มีชื่อของช่างทำหมวกคนใดที่ได้รับการจดจำว่าเป็นผู้ประดิษฐ์หมวกชนิดนี้อย่างชัดเจน แต่ก็ทราบกันดีว่าหมวกโบ๊ตเตอร์แพร่หลายโดยช่างทำหมวกในอังกฤษตอนใต้ โดยเฉพาะในลอนดอน ซึ่งเป็นผู้รับทำหมวกให้แก่นักเรียนชายและกลุ่มชนชั้นกลางผู้รักกิจกรรมกลางแจ้ง หมวกนี้จึงเริ่มเป็นส่วนหนึ่งของชุดยูนิฟอร์มของชมรมพายเรือของมหาวิทยาลัย และกลายเป็นเครื่องแต่งกายประจำการออกเรือเล่นหรือร่วมกิจกรรมฤดูร้อนอื่น ๆ
คำว่า “boater” ที่ใช้เรียกหมวกนี้ มาจากกิจกรรม “boating” ซึ่งเป็นหนึ่งในกิจกรรมสันทนาการยอดนิยมของนักเรียนชายในยุคนั้น หมวกจึงถูกใช้ทั้งในงานแข่งขันเรือ งานเลี้ยงริมน้ำ และการเดินเล่นในช่วงฤดูร้อน หมวกโบ๊ตเตอร์ยังได้รับความนิยมในหมู่นักเรียนชายจากโรงเรียนชื่อดังในอังกฤษ เช่น Eton College, Harrow, และ Winchester ซึ่งล้วนมีเครื่องแบบที่รวมหมวกโบ๊ตเตอร์เข้าไว้ด้วย
ภายในไม่กี่ทศวรรษ หมวกโบ๊ตเตอร์ก็เริ่มหลุดออกจากบริบทเฉพาะกิจกรรมพายเรือ กลายเป็นสัญลักษณ์ของการพักผ่อนอย่างมีรสนิยมในยุค เอ็ดเวิร์เดียน (ต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20) และยังคงได้รับความนิยมอย่างสูงต่อเนื่องในยุค 1920s ทั้งในอังกฤษ ยุโรป และสหรัฐอเมริกา หมวกชนิดนี้มักสวมคู่กับเบลเซอร์ กางเกงลายทาง และรองเท้า spectator shoes กลายเป็นลุคของสุภาพบุรุษผู้มีรสนิยมในช่วงฤดูร้อน
เมื่อแฟชั่นตะวันตกเดินทางมาถึงสยาม: ภาพในจินตนาการจากสมัยรัชกาลที่ 6
ในช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 ภายใต้รัชสมัยของ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5) และต่อเนื่องถึง พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 6) สยามได้เปิดรับแนวคิดแบบตะวันตกอย่างกว้างขวาง ทั้งในด้านการเมือง การศึกษา และวัฒนธรรม โดยเฉพาะชนชั้นสูงและพระบรมวงศานุวงศ์หลายพระองค์ได้รับการศึกษาในยุโรป โดยเฉพาะที่ประเทศอังกฤษ
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงศึกษาในโรงเรียน Eton และมหาวิทยาลัยอ็อกซ์ฟอร์ด ซึ่งเป็นที่แน่ชัดว่าพระองค์ทรงสวมหมวกโบ๊ตเตอร์ตามระเบียบเครื่องแบบของโรงเรียนอังกฤษ หมวกนี้จึงไม่ใช่แค่ของประดับในแฟชั่น แต่เป็นเครื่องหมายแห่งการเป็นส่วนหนึ่งของสถาบันชั้นสูงในสังคมยุโรป และสะท้อนถึงการเชื่อมต่อของสยามกับโลกตะวันตก
หากจะจินตนาการว่าสุภาพบุรุษชาวสยามในยุค 1920 เช่น เจ้านาย หรือข้าราชการผู้ได้รับการศึกษาตะวันตก กำลังเดินอยู่ในบริเวณพระราชวังดุสิต หรือถนนราชดำเนินในชุดสูทสามชิ้น ปกแข็ง ประดับด้วยผ้าเช็ดหน้าที่กระเป๋าเสื้อสูท พร้อมกับรองเท้าหนังมันวาว และหมวกโบ๊ตเตอร์ ก็คงมิใช่เรื่องเกินเลยจากความจริง แม้ประชาชนทั่วไปยังนิยมเครื่องแต่งกายแบบไทยในชีวิตประจำวัน แต่อภิชนชั้นนำในเวลานั้นได้เรียนรู้และซึมซับแฟชั่นตะวันตกได้อย่างเป็นสากล
ภาพจำลองด้วย AI: หากสุภาพบุรุษสยามในยุค 1920 รับแฟชั่นตะวันตกอย่างสมบูรณ์
ในภาพถ่ายที่สร้างขึ้นด้วย AI คอลเล็คชั่นนี้ ชายไทยสองคนเดินอยู่ในฉากสถาปัตยกรรมแบบตะวันตกภายในพระบรมมหาราชวังในกรุงเทพฯ ทั้งคู่แต่งกายด้วยสูทเข้ารูปและหมวกโบ๊ตเตอร์อย่างสง่างาม ภาพเหล่านี้อาจจะเป็นเพียงจินตนาการ หากแต่เป็นการสร้างสรรค์ที่มีรากฐานในความเป็นจริงทางประวัติศาสตร์เครื่องแต่งกายในสมัยนั้น
ชายเหล่านี้อาจเป็นเจ้านาย ขุนนาง หรือผู้แทนทางการทูตที่เพิ่งกลับจากการศึกษาในต่างประเทศก็เป็นได้ พวกเขาคือภาพแทนของชนชั้นนำสยามในยุคนั้นที่รับเอาวัฒนธรรมตะวันตกอย่างมั่นใจและมีรสนิยม
แม้จะไม่ใช่ทุกคนในยุคนั้นที่แต่งกายเช่นนี้ แต่ก็มีคนกลุ่มหนึ่งที่สามารถ และเลือกที่จะแต่งกายเช่นนั้นจริง ๆ การผสมผสานระหว่างความเป็นตะวันออกและตะวันตกในโลกของแฟชั่นคืออีกหนึ่งภาพสะท้อนของสยามยุคใหม่—ประเทศที่กำลังเดินหน้าเข้าสู่โลกสมัยใหม่อย่างมีศักดิ์ศรี โดยไม่ลืมรากเหง้าแห่งตนเอง
ศิลปะงานปักเสื้อ กับแฟชั่นสตรีในสมัยต้นรัชกาลที่ ๗
ศิลปะงานปักกับแฟชั่นสตรีในสมัยต้นรัชกาลที่ ๗
ในการออกแบบคอลเลกชันนี้ซึ่งสะท้อนแฟชั่นในช่วงต้นรัชกาลที่ ๗ ผมตั้งใจเลือกใช้ซิลูเอตที่เรียบง่ายแทบเป็นทรงกระบอกโดยไม่มีการเน้นส่วนเว้าโค้ง เพื่อสะท้อนเส้นสายอันงดงามของการแต่งกายสตรีไทยในช่วงปลายทศวรรษ 1920 ถึงต้นทศวรรษ 1930 และด้วยความเรียบง่ายนี้เอง ผมจึงให้ความสำคัญเป็นพิเศษกับงานปักบนเสื้อ ซึ่งกลายเป็นจุดเด่นของชุดทั้งหมด
หัวใจของการสร้างสรรค์ผลงานคอลเลกชันนี้อยู่ที่ซิลูเอตแฟชั่นยุค 1920s ซึ่งนับเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของโลกแฟชั่น จากเดิมที่ผู้หญิงตะวันตกนิยมโครงร่างเงาแบบทรงนาฬิกาทรายแบบยุคเอ็ดเวิร์ดเดียน ได้เปลี่ยนมาเป็นลุคที่เน้นความเรียบง่าย และเสื้อผ้าแบบทรงสมมาตร ปราศจากโครงเสื้อที่รัดรูป โครงร่างเงาของเครื่องแต่งกายสตรีในยุคนี้นิยมเสื้อผ้าทรงหลวม ๆ และช่วงเอวต่ำ ซึ่งให้ความรู้สึกความเป็นอิสระและทันสมัย
งานปักในคอลเลกชันนี้มีรายละเอียดที่ละเอียดละออแต่ไม่ฉูดฉาด ประกอบด้วยลวดลายที่ซ้อนทับกันหลายชั้น ส่วนใหญ่เป็นลายดอกไม้ ปักด้วยไหมโลหะ ลูกปัดแก้ว และไข่มุกเทียมอย่างพิถีพิถัน หากซูมเข้าไปดูใกล้ ๆ จะเห็นได้ชัดถึงความประณีตของแต่ละฝีเข็ม ด้วยการเลือกใช้วัสดุที่แตกต่างกันเพื่อสร้างมิติทางสายตา จุดประสงค์ไม่ใช่เพื่อดึงดูดความสนใจแบบฉับพลัน แต่เพื่อให้ความละเอียดของงานออกแบบให้มีมิติมากขึ้น
นอกจากนี้ ผมยังได้รับแรงบันดาลใจจากสถาปัตยกรรมแบบโคโลเนียลในกรุงเทพฯ ซึ่งเฟื่องฟูในช่วงปลายรัชกาลที่ ๖ ถึงต้นรัชกาลที่ ๗ โดยเฉพาะบ้านไม้ที่ทาสีเขียวอ่อนสบายตา มีการประดับด้วยไม้ฉลุลายไทยผสมตะวันตกอย่างอ่อนช้อย ทั้งบริเวณชายคา หน้าต่าง และระเบียง ลวดลายเหล่านี้มีทั้งลายพรรณพฤกษาและลายเรขาคณิต ซึ่งกลมกลืนกับธรรมชาติรอบบ้าน สถาปัตยกรรมลักษณะนี้ไม่เพียงแค่สะท้อนความงามของยุคนั้น แต่ยังเป็นเครื่องเตือนใจถึงการผสมผสานระหว่างวัฒนธรรมไทยกับตะวันตกในยุคเปลี่ยนผ่าน ซึ่งสอดคล้องกับแนวทางของคอลเลกชันที่ผมออกแบบอย่างยิ่ง
แฟชั่นสุภาพบุรุษไทย ณ ปราสาทตาเมือนธม พ.ศ. 2478 – คอลเลกชันแฟชั่น AI สะท้อนมรดกชาติ
แฟชั่นสุภาพบุรุษไทย ณ ปราสาทตาเมือนธม พ.ศ. 2478 – คอลเลกชันแฟชั่น AI สะท้อนมรดกชาติ
คอลเลกชันแฟชั่น AI ชุดนี้จินตนาการถึงสไตล์ของสุภาพบุรุษไทยในปี พ.ศ. 2478 ซึ่งอยู่ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 7 ครองราชย์ระหว่าง พ.ศ. 2468–2477) ปี พ.ศ. 2478 ถือเป็นช่วงเวลาสำคัญ ไม่เพียงแต่ในแง่ของแฟชั่น แต่ยังรวมถึงประวัติศาสตร์ด้านมรดกวัฒนธรรมอีกด้วย — เนื่องจากเป็นปีที่ “ปราสาทตาเมือนธม” ได้รับการขึ้นทะเบียนอย่างเป็นทางการเป็นโบราณสถานของไทย เกือบ สองทศวรรษก่อนที่ประเทศกัมพูชาจะได้รับเอกราชจากการเป็นอาณานิคมของฝรั่งเศส
ในฉากหลังของสถาปัตยกรรมหินทรายโบราณแห่งปราสาทตาเมือนธม ภาพเหล่านี้ถ่ายทอดสไตล์ของสุภาพบุรุษไทยในซิลูเอตต์ของยุค 1930s ได้แก่:
กางเกงขากว้างเอวสูง
เสื้อเชิ้ตสไตล์ซาฟารี
สูทฤดูร้อนในโทนเบจและน้ำตาล
หมวกปานามาและรองเท้าทูโทนแบบ spectator
ภาพจำลองแฟชั่นเหล่านี้สะท้อนถึงการปรับใช้การตัดเย็บแบบตะวันตกในหมู่ชายไทยเมืองใหญ่ในยุคก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นบทคารวะต่อประวัติศาสตร์แฟชั่นอีกด้านหนึ่งของไทย — ที่เต็มไปด้วยความเรียบหรู สุภาพ และมีวิสัยทัศน์ระดับนานาชาติ
บริบททางประวัติศาสตร์: ปราสาทตาเมือนธม ก่อนที่กัมพูชาจะได้รับเอกราช
ปราสาทตาเมือนธมตั้งอยู่ในเขตแดนประเทศไทย และได้รับการสำรวจพร้อมขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานโดย กรมศิลปากรตั้งแต่ปี พ.ศ. 2478 (ค.ศ. 1935) หรือเมื่อ 90 ปีที่แล้ว ปัจจุบันอยู่ในความดูแลของ สำนักศิลปากรที่ 5 จังหวัดปราจีนบุรี
การขึ้นทะเบียนนี้เกิดขึ้นก่อนที่กัมพูชาจะมีสถานะเป็นรัฐเอกราชเสียอีก โดยกัมพูชาได้รับเอกราชจากฝรั่งเศสในปี พ.ศ. 2496 และได้รับการรับรองจากองค์การสหประชาชาติในปี พ.ศ. 2498 นั่นหมายความว่า ประเทศไทยได้ขึ้นทะเบียนปราสาทตาเมือนธมเป็นโบราณสถานก่อนกัมพูชาจะเป็นรัฐเอกราชกว่า 20 ปี
ตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมา ประเทศไทยได้ดำเนินการอนุรักษ์โบราณสถานแห่งนี้อย่างต่อเนื่อง — ทั้งในด้านการบูรณะโดยกรมศิลปากร และการพัฒนาเส้นทางท่องเที่ยวโดยการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ซึ่ง ทางการกัมพูชารับรู้การดำเนินการเหล่านี้มาโดยตลอด
อย่างไรก็ตาม ในช่วงหลัง กัมพูชาพยายามอ้างสิทธิเหนือพื้นที่ดังกล่าว โดยใช้วาทกรรมปลุกกระแสชาตินิยม ซึ่งคล้ายคลึงกับกรณีข้อพิพาทเกี่ยวกับ “ปราสาทพระวิหาร” ทั้งที่ในความเป็นจริง เส้นเขตแดนบริเวณนี้แบ่งตามหลัก “สันปันน้ำ” ซึ่งเป็นมาตรฐานที่นานาชาติยอมรับ และชี้ชัดว่าพื้นที่ดังกล่าวอยู่ในฝั่งประเทศไทย
ทำไมเรื่องนี้จึงสำคัญ
คอลเลกชัน AI นี้ไม่เพียงจินตนาการถึงแฟชั่นสุภาพบุรุษไทยในยุค 1930s เท่านั้น — แต่ยังตอกย้ำถึงบทบาทอันยาวนานของไทยในการดูแลและอนุรักษ์มรดกทางวัฒนธรรมแห่งนี้ การสวมใส่เครื่องแต่งกายแบบตามแฟชั่น 1930s ของชายไทย ณ ปราสาทตาเมือนธมในปี 2478 เป็นทั้งถ้อยคำทางแฟชั่น และการยืนยันสิทธิ์ทางวัฒนธรรม การออกแบบแฟชั่นในคอลเลกชันนี้สะท้อนถึงช่วงเวลาที่ประเทศไทยเดินหน้าสู่ความทันสมัยควบคู่ไปกับการเคารพรากเหง้าของตน
แหล่งอ้างอิงเพิ่มเติม
• • 📌 ข้อมูลและข้อวิเคราะห์ทางประวัติศาสตร์ร่วมสมัย
ศิลปะแห่งฟ้อนภูไทเรณูนคร: จากภาพถ่ายยุค 2500 สู่การฟื้นชีวิตใหม่ในสมัยรัชกาลที่ 7 ด้วย AI
ศิลปะแห่งฟ้อนภูไทเรณูนคร: จากภาพถ่ายยุค 2500 สู่การฟื้นชีวิตใหม่ในสมัยรัชกาลที่ 7 ด้วย AI
ผมได้รับรูปภาพของหญิงภูไทในชุดแต่งกายฟ้อนภูไทเรณูนครจากแฟนเพจท่านหนึ่ง ซึ่งประกอบด้วยทั้งภาพถ่ายส่วนบุคคลและภาพจากหน้าปกนิตยสาร โดยคาดว่าน่าจะถ่ายไว้ราวช่วงปี พ.ศ. 2510 (1960s) จากแฟนเพจท่านหนึ่งเมื่อต้นปีที่ผ่านมา ภาพถ่ายที่น่าหลงใหลเหล่านี้ได้กลายมาเป็นแรงบันดาลใจสำคัญให้กับคอลเล็กชัน AI ล่าสุดของผม ซึ่งมุ่งสร้างสรรค์และให้เกียรติมรดกทางวัฒนธรรมอันทรงคุณค่าของศิลปะการฟ้อนอันวิจิตรจากจังหวัดนครพนม
ผมได้นำเทคโนโลยี AI มาประยุกต์ใช้ในการรังสรรค์ภาพในจินตนาการของฟ้อนภูไทเรณูนครขึ้นใหม่ คอลเล็กชันนี้ไม่เพียงแต่เป็นการยกย่องความงามของศิลปะการฟ้อนเท่านั้น หากยังเป็นการเฉลิมฉลองถึงความทุ่มเทของผู้ที่รักษาขนบธรรมเนียมประเพณีอันล้ำค่านี้ให้คงอยู่ผ่านกาลเวลา เครื่องแต่งกายสีน้ำเงินกรมท่าและสีแดงที่โดดเด่น ท่วงท่าที่อ่อนช้อยงดงาม และความหมายเชิงวัฒนธรรมอันลึกซึ้ง ล้วนสะท้อนถึงอัตลักษณ์เฉพาะของฟ้อนภูไทเรณูนครในฐานะมรดกศิลปะพื้นบ้านไทยที่ทรงคุณค่า
อย่างไรก็ตาม ในการสร้างสรรค์ผลงานชุดนี้ ผมได้ปรับการตีความใหม่โดยย้อนกลับไปสู่บริบทของยุค พ.ศ. 2470 (1930s) ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 7) เพื่อสร้างมิติทางประวัติศาสตร์ที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น การเปลี่ยนแปลงสำคัญได้แก่ การปรับทรงผมของผู้แสดงหญิงให้เป็นทรงสั้นลอนคลื่น (short wavy hair) และทรง finger waves ซึ่งเป็นทรงผมร่วมสมัยของสตรีไทยในช่วงทศวรรษนั้น อีกทั้งยังได้เปลี่ยนฉากหลังให้เป็นวัดในภาคอีสานยุค 1930s เพื่อให้บรรยากาศโดยรวมของภาพสอดคล้องกับช่วงเวลาในอดีต และเพื่อเป็นการให้เกียรติแก่รากเหง้าทางวัฒนธรรมของฟ้อนภูไทเรณูนครในบริบทของสังคมและศิลปะร่วมสมัยในยุคนั้น
ผมหวังว่าคอลเล็กชันนี้จะสามารถจุดประกายแรงบันดาลใจให้กับหลาย ๆ ท่านในการชื่นชมความสง่างามและคุณค่าทางประวัติศาสตร์ของฟ้อนภูไทเรณูนครได้ เช่นเดียวกับที่ภาพถ่ายต้นฉบับได้มอบแรงบันดาลใจอันเปี่ยมความหมายให้กับผม ขอขอบพระคุณแฟนเพจที่กรุณาแบ่งปันภาพถ่ายล้ำค่านี้ครับ
มรดกทางวัฒนธรรมของฟ้อนภูไทเรณูนคร
ฟ้อนภูไทเรณูนครเป็นศิลปะการแสดงที่มีบทบาทสำคัญในมรดกทางวัฒนธรรมของชาวภูไทในอำเภอเรณูนคร จังหวัดนครพนม ศิลปะแขนงนี้มีรากฐานมาจากประเพณีของบรรพบุรุษและเป็นองค์ประกอบที่สำคัญของอัตลักษณ์ทางศิลปะของจังหวัด นอกจากนี้ยังคงถูกถ่ายทอดและสืบสานต่อไปเพื่อการอนุรักษ์ทางวัฒนธรรม
หนึ่งในเหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์ของฟ้อนภูไทเรณูนครเกิดขึ้นในปี พ.ศ. 2498 เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถเสด็จพระราชดำเนินไปยังพระธาตุพนม เพื่อเป็นเกียรติแก่การเสด็จพระราชดำเนินครั้งนี้ นายสง่า จันทรสาขา ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนมในขณะนั้น ได้จัดให้มีการแสดงฟ้อนภูไทถวายแด่พระองค์ โดยมีนายคำนึง อินทร์ติยะ ศึกษาธิการอำเภอเรณูนครเป็นผู้กำกับดูแลการพัฒนาและปรับปรุงท่าฟ้อน ภายใต้คำแนะนำของผู้สูงอายุที่มีประสบการณ์ ส่งผลให้ศิลปะการฟ้อนนี้ได้รับการพัฒนาให้เป็นรูปแบบมาตรฐานที่ยังคงสืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน