History of Fashion
โลกจินตนาการแฟชั่นของเจ้านายเมืองอุบลฯ ในสมัยรัชกาลที่ ๗
โลกจินตนาการ แฟชั่นของเจ้านายเมืองอุบลฯ ในสมัยรัชกาลที่ ๗
แรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์คอลเลกชัน AI นี้
คอลเลกชันภาพแฟชั่นที่สร้างสรรค์ด้วย AI ชุดนี้ ได้รับแรงบันดาลใจจากพระรูปและภาพถ่ายเก่าแก่ของเจ้านายสตรีและผู้ดีเมืองอุบลราชธานีในช่วงปลายรัชกาลที่ ๖ ถึงรัชกาลที่ ๗ ซึ่งเป็นช่วงเปลี่ยนผ่านสำคัญที่สตรีไทยเริ่มรับเอาแฟชั่นตะวันตกมาใช้ผสมผสานกับอัตลักษณ์พื้นถิ่นอย่างลงตัว
ในภาพเหล่านี้ สตรีในเครื่องแต่งกายที่ตัดเย็บอย่างประณีต สวมเสื้อคอกระเช้าแบบสากลประดับลูกไม้ ปักดิ้นทองและประดับด้วยเครื่องประดับไข่มุก สะท้อนถึงรสนิยมแบบเจ้านายชั้นสูงในยุคนั้น ทรงผมแบบบ๊อบสั้นดัดลอนคลื่นที่เรียกกันว่าสไตล์ “ฟิงเกอร์เวฟ” (Finger Wave) เป็นแบบผมที่ได้รับความนิยมอย่างมากในช่วงทศวรรษที่ 1930 และแพร่หลายเข้าสู่สยามพร้อมกับกระแสความเป็นสากลที่เจ้านายไทยในยุคนั้นนิยมยึดถือ
ผ้าซิ่นลายล่อง: เอกลักษณ์อีสานในสมัยใหม่
ลักษณะเด่นที่สุดของคอลเลกชันนี้คือ ผ้าซิ่นลายล่อง หรือผ้าซิ่นลายทางแนวตั้ง ซึ่งเป็นมรดกจากฝีมือช่างทอพื้นบ้านในภาคอีสาน โดยเฉพาะเมืองอุบลราชธานี ลายล่องเหล่านี้ต่างจากลายขวางแบบล้านนาอย่างชัดเจน ด้วยแนวลายตั้งที่เน้นความสง่างามในแนวดิ่งและเส้นทองละเอียดที่สอดแทรกในเนื้อผ้า เหมาะสำหรับการตัดเย็บแบบร่วมสมัยในสมัยนั้น โดยเฉพาะเมื่อจับคู่กับเสื้อคอกระเช้าที่เย็บตัดอย่างประณีตแบบยุโรป
เครื่องประดับที่ใช้ เช่น เข็มกลัดทรงดอกไม้ ไข่มุก และสร้อยทอง เสริมให้ลุคของผู้หญิงเหล่านี้มีความสง่างามในแบบสตรีชั้นสูง แต่ยังคงความอ่อนช้อยแบบไทยไว้ได้อย่างกลมกลืน
สุนทรียภาพแห่งชนชั้นสูงอีสานในโลก AI
คอลเลกชันนี้มิใช่การจำลองประวัติศาสตร์หรือการบันทึกภาพผู้คนในอดีต หากแต่เป็นการตั้งคำถามทางศิลปะว่า “หากเราสามารถย้อนจินตนาการแฟชั่นของเจ้านายอีสานในยุคหนึ่งขึ้นใหม่ในโลก AI ได้ จะออกมาเป็นอย่างไร?” และนี่คือคำตอบในรูปแบบภาพ ที่ผสมผสานทั้งผ้าทอ เครื่องประดับ และอารมณ์แบบสตรีชั้นสูงเข้าด้วยกัน ด้วยความเคารพต่อวัฒนธรรมท้องถิ่นและความฝันในโลกจินตนาการสมัยรัชกาลที่ ๗
แฟชั่นสตรีไทยสมัยปลายรัชกาลที่ ๖: จุดเปลี่ยนผ่านจากความงามแบบเอ็ดเวิร์ดเดียนสู่ความทันสมัยแบบอาร์ตเดโค
แฟชั่นสตรีไทยสมัยปลายรัชกาลที่ ๖: จุดเปลี่ยนผ่านจากความงามแบบเอ็ดเวิร์ดเดียนสู่ความทันสมัยแบบอาร์ตเดโค (ราว ค.ศ. 1920 ในปลายรัชกาลที่ 6)
ในช่วงปลายรัชกาลพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 6 ครองราชย์ พ.ศ. 2453–2468) ประเทศสยามกำลังอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านทางวัฒนธรรม ขณะเดียวกันกระแสแฟชั่นตะวันตกก็เข้าสู่ยุคใหม่อย่างรวดเร็ว หลังสงครามโลกครั้งที่ 1 สตรีในสังคมชั้นสูงของไทยเริ่มแต่งกายผสมผสานกลิ่นอายของแฟชั่นปลายยุคเอ็ดเวิร์ด (Edwardian) กับกระแสความทันสมัยของยุคอาร์ตเดโค (Art Deco) ในยุคทศวรรษ 1920 ได้อย่างมีเอกลักษณ์ โดยเฉพาะการสวมเสื้อผ้าท่อนบนที่มีขายเสื้อยาวกับกระโปรงยาวทรงกระบอกแบบไทย ที่สะท้อนรูปทรงเสื้อผ้าตะวันตกแบบใหม่โดยไม่ทิ้งความงามแบบไทยดั้งเดิม
จากความงามแบบเอ็ดเวิร์ดเดียนสู่เสรีภาพในยุคแจ๊ส
แฟชั่นปลายยุคเอ็ดเวิร์ดเดียน (ราว พ.ศ. 2453–2457) มีลักษณะเด่นที่เน้นความสง่างาม อ่อนช้อย ด้วยเสื้อผ้าทรงเข้ารูป กระโปรงบานยาว และการประดับลูกไม้ ปักเลื่อม หรือเย็บดอกไม้ผ้าอย่างประณีต ส่วนเส้นผมจะไว้ยาว ม้วนเป็นทรงพองคล้าย ‘Gibson Girl’ ที่แสดงออกถึงอุดมคติของหญิงงามยุคนั้น
แต่ในช่วงทศวรรษ 1920 หลังสงครามโลกครั้งที่ 1 สตรีตะวันตกเริ่มปฏิวัติตนเองด้วยแฟชั่นแบบ “แฟลปเปอร์” ที่เน้นความทะมัดทะแมง กระฉับกระเฉง กระโปรงสั้นขึ้น เอวต่ำลง เสื้อตัวหลวม และทรงผมสั้นดัดเป็นลอน เรียกว่า finger wave เสริมด้วยเครื่องประดับอย่างผ้าคาดศีรษะ (bandeau), สร้อยไข่มุกยาว, ถุงมือขาว และหมวกปีกกว้างหรือหมวกโคลช (cloche hat) ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของความเปลี่ยนแปลงทางสังคมและบทบาทของสตรีสมัยใหม่
การตีความแบบไทย: งามอย่างสมัยใหม่ไม่ละทิ้งรากเหง้า
สิ่งที่น่าสนใจในแฟชั่นสตรีไทยยุคนี้ คือการ ดัดแปลงรูปทรงแฟชั่นตะวันตกให้เข้ากับความงามและกิริยาแบบไทย แทนที่จะสวมเดรสสั้นแบบตะวันตก สตรีไทยในชั้นสูงมักสวมกระโปรงยาวทรงกระบอก หรือผ้าซิ่น ร่วมกับเสื้อตัวหลวมที่ยาวคลุมสะโพก และมีการเย็บปักอย่างประณีต เลียนแบบโครงสร้างของชุดแฟลปเปอร์แต่ยังคงความสุภาพอ่อนหวานแบบไทย
องค์ประกอบสำคัญของแฟชั่นไทยในยุค 1920
เสื้อยาวกับกระโปรงทรงกระบอก – เสื้อตัวบนเป็นผ้าโปร่งหรือลูกไม้เย็บติดเลื่อม มีชายเสื้อคลุมสะโพกหรือทิ้งชายระบาย เพื่อให้เกิดแนวเอวต่ำแบบตะวันตก ขณะที่กระโปรงทรงกระบอกยาวกลางหน้าแข้งทำหน้าที่แทนกระโปรงสั้นแบบ flapper ได้อย่างเหมาะสมในบริบทไทย
ผ้าปักและการตกแต่ง – ใช้ผ้าโปร่ง ผ้าชีฟอง และผ้าไหมปักเลื่อม ลวดลายดอกไม้ หรือแพตเทิร์นเรขาคณิตแบบ Art Deco เสริมให้ชุดดูหรูหราแต่ยังโปร่งสบายเหมาะกับอากาศร้อน
เครื่องประดับ – หมวกฟางปีกกว้างติดดอกไม้ประดับ และผ้าคาดศีรษะประดับไข่มุกหรือเลื่อม ได้รับความนิยมในหมู่สาวสมัยใหม่ ถุงมือขาวและถุงน่องสีขาวก็ถูกนำมาใช้ในโอกาสพิเศษหรือการถ่ายภาพพอร์เทรต
ทรงผม – จากผมยาวในสมัยเอ็ดเวิร์ดเริ่มเปลี่ยนเป็นทรงสั้นระดับติ่งหู หรือสั้นแค่ต้นคอ และนิยมดัดลอนเป็น finger wave เพื่อให้ได้รูปลักษณ์สาว flapper ที่ทะมัดทะแมงและทันสมัย
รองเท้า – รองเท้าส้นสูงทรงเรียวทำจากผ้าไหมหรือหนังสีอ่อน ตกแต่งด้วยดอกไม้หรือโบว์เล็ก ๆ เข้าชุดกับเสื้อผ้าและถุงน่องสีขาว
บริบททางวัฒนธรรมและภาพลักษณ์ร่วมสมัย
ยุคนี้คือช่วงเวลาของการตื่นตัวทางสังคม การศึกษา และความคิดแบบประชาธิปไตยสมัยใหม่ในราชสำนักสยาม สตรีชั้นสูงปรากฏกายในภาพถ่ายแบบสตูดิโอด้วยเครื่องแต่งกายที่แสดงออกถึงการผสมผสานระหว่างความเป็นไทยและตะวันตกได้อย่างลงตัว ทั้งงดงาม สง่างาม และแฝงความมั่นใจในบทบาทใหม่
แฟชั่นจึงไม่ใช่แค่เสื้อผ้า แต่คือการ สื่อสารอัตลักษณ์ของหญิงไทยในยุคแห่งการเปลี่ยนผ่าน — ระหว่างโลกเก่าและโลกใหม่ — ที่งามทั้งในความเรียบง่ายและในความกล้าเผชิญโลกภายนอกอย่างสง่างามและมั่นใจ
เคบายาในฝัน: จินตนาการแฟชั่นภูเก็ตทศวรรษ 1930 ในสมัยรัชกาลที่ ๗
เคบายาในฝัน: จินตนาการแฟชั่นภูเก็ตทศวรรษ 1930 ในสมัยรัชกาลที่ ๗
เคบายา (Kebaya) หรือที่รู้จักในชื่อท้องถิ่นว่า “เสื้อย่าหยา” มิใช่เพียงเครื่องแต่งกาย หากแต่เป็นตัวแทนแห่งอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมที่ถ่ายทอดผ่านงานฝีมืออันประณีตและผืนผ้าที่มีชีวิต จุดกำเนิดของเครื่องแต่งกายชนิดนี้ฝังรากอยู่ในวิถีชีวิตของชุมชนบาบ๋า-ย่าหยาในจังหวัดชายฝั่งทะเลอันดามันของภาคใต้ อาทิ ภูเก็ต สตูล ตรัง กระบี่ พังงา และระนอง อีกทั้งยังมีสายใยเชื่อมโยงกับวัฒนธรรมเพอรานากันในมาเลเซียและสิงคโปร์
บทความนี้เป็นส่วนหนึ่งของคอลเลกชันภาพแฟชั่นที่สร้างขึ้นด้วยเทคโนโลยี AI ซึ่งเป็นการสร้างสรรค์เกี่ยวกับแฟชั่นไทยในหลากหลายยุคสมัยและภูมิภาคทั่วประเทศ โดยเฉพาะคอลเลกชันนี้นับเป็นผลงานชุดที่สาม สืบเนื่องจากชุดก่อนหน้า ได้แก่ แฟชั่นงานแต่งของชาวเพอรานากัน และ เคบายาในบริบทปัจจุบัน สำหรับผลงานชุดนี้ เป็นการสดุดีความงามของวัฒนธรรมการแต่งกายในภาคใต้ของไทย ผ่านรูปแบบชุดเคบายาที่ได้รับแรงบันดาลใจจากยุคสมัยรัชกาลที่ ๗ ซึ่งเปี่ยมด้วยกลิ่นอายวินเทจแห่งทศวรรษ 1930
คอลเลกชัน AI นี้เป็นจินตนาการร่วมสมัยของสไตล์แฟชั่นเคบายาสำหรับสตรีในภาคใต้ของไทย โดยเฉพาะในจังหวัดภูเก็ต ในช่วงทศวรรษ 1930 ซึ่งอยู่ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 7) ผมได้ออกแบบทรงผมลอนคลื่น หรือ ทรงปันหยี (Finger Waves) ตามแบบฉบับแฟชั่นยุค 1930 รวมถึงจัดองค์ประกอบฉากหลังให้กลมกลืนกับสถาปัตยกรรมแบบ ชิโน-โปรตุกีส (Sino-Portuguese architecture) และ สถาปัตยกรรมแบบโคโลเนียล (Colonial architecture) ซึ่งถือเป็นเอกลักษณ์ของเมืองภูเก็ตอย่างแท้จริง คอลเลกชันนี้เปี่ยมด้วยความงดงามแบบวินเทจ และมอบมิติใหม่ที่เปรียบเสมือนประตูสู่ประวัติศาสตร์แฟชั่นในยุคนั้น
รากเหง้าและการผสมผสานทางวัฒนธรรม
ชุดเคบายาในภาคใต้ของไทยมีต้นกำเนิดจากกลุ่มชาวจีนอพยพในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 ที่สมรสกับหญิงพื้นเมืองชาวมลายู กลายเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ใหม่ที่เรียกว่า บาบ๋า-ย่าหยา (Baba-Nyonya) ซึ่งมีวัฒนธรรมเป็นของตนเอง และแสดงออกผ่านเครื่องแต่งกายที่ผสมผสานเอกลักษณ์ของ จีน มาเลย์ และตะวันตก เข้าไว้ด้วยกันอย่างลงตัว
ลักษณะของชุดเคบายาแบบภาคใต้
เสื้อแขนยาว ผ่าอกแบบคอวี
ชายเสื้อหน้าปลายแหลม ด้านหลังสั้นระดับสะโพก
ใช้ เข็มกลัดโกสัง แทนกระดุมในการยึดสาบเสื้อ
ปักลวดลายมงคล เช่น ดอกไม้ เถาวัลย์ หรือสัตว์ในคติความเชื่อ
สวมคู่กับ ผ้าปาเต๊ะเขียนลายด้วยมือ จากรัฐเคดาห์หรือเกาะชวา
นิยมสวมใส่ในงานมงคล งานประเพณี หรืองานพิธีต่าง ๆ เพื่อแสดงฐานะ ความเป็นกุลสตรี และความภูมิใจในเชื้อสายบรรพบุรุษ
รูปแบบเคบายา 3 ประเภทดั้งเดิมในภาคใต้
เคบายาลันดา (Kebaya Renda) – เสื้อหลวม ใช้ผ้าป่านหรือผ้าหนา แต่งขอบเสื้อและแขนด้วยลูกไม้จากยุโรป
เคบายาบีกู (Kebaya Biku) – ใช้เทคนิคการปักฉลุลายด้วยเครื่องจักร ลายเรขาคณิต เถาวัลย์ หรือดอกไม้
เคบายาซูแลม (Kebaya Sulam) – เสื้อเข้ารูป ใช้ผ้ารูเปียร์เนื้อบาง ปักด้วยไหมจีนสีสดอย่างประณีต
การพัฒนาและการอนุรักษ์ในยุคปัจจุบัน
ปัจจุบันเคบายาได้รับการพัฒนาให้ร่วมสมัยมากขึ้น:
ใช้ผ้าคอตตอน ผ้าลินิน ผ้าออแกนซา แทนผ้าแบบดั้งเดิม
ปักลวดลายด้วยจักร หรือใช้ลูกไม้สำเร็จรูป
เสื้อเข้ารูปขึ้น เพื่อตอบสนองแฟชั่นร่วมสมัย
แม้จะเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา แต่ ชุดเคบายายังคงได้รับการฟื้นฟูในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะในเทศกาลประจำปี พิธีแต่งงาน หรือกิจกรรมอนุรักษ์ท้องถิ่น บทบาทของเทคโนโลยี AI และแฟชั่นดิจิทัลเช่นคอลเลกชันนี้ ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการ สืบสานและตีความแฟชั่นดั้งเดิมในมิติใหม่
คอลเลกชันแฟชั่นนี้เป็นส่วนหนึ่งของความพยายามในการบันทึก ความงดงามของการแต่งกายไทยในหลากหลายภูมิภาคและยุคสมัย ผ่านภาพที่สร้างสรรค์ด้วย AI และการเล่าเรื่องทางวัฒนธรรม จุดประสงค์คือเพื่อให้ชุดเคบายายังคงอยู่ในความทรงจำ และเป็นแรงบันดาลใจสู่อนาคต
ขอบคุณจากใจสำหรับทุกกำลังใจและคำชื่นชม
ขอบคุณจากใจสำหรับทุกกำลังใจและคำชื่นชม
ถึงผู้ติดตามที่รักทุกท่าน
ผมขอขอบพระคุณจากใจจริงสำหรับข้อความและคอมเมนท์ที่แสนอบอุ่นและกำลังใจอันล้นหลามที่ทุกท่านมอบให้เสมอมา แรงสนับสนุนของทุกท่านคือแรงผลักดันสำคัญที่ทำให้เพจเล็ก ๆ นี้ รวมถึงการศึกษาและอนุรักษ์ประวัติศาสตร์แฟชั่นไทย ยังคงมีชีวิตและได้รับความชื่นชมไม่เสื่อมคลาย
หลายท่านอาจทราบแล้วว่าเพจนี้มุ่งเน้นการอนุรักษ์และสร้างสรรค์ประวัติศาสตร์แฟชั่นไทยในแต่ละยุคสมัย ผ่านกระบวนการทาง AI ซึ่งผมไม่ได้มองว่าเป็นการทดแทนอดีต แต่เป็นการถ่ายทอดอดีตอย่างเคารพ ด้วยความตั้งใจและความรักในรายละเอียดทางประวัติศาสตร์
ภาพแต่ละภาพในคอลเลกชัน AI นี้เกิดจากกระบวนการทำงานที่ซับซ้อนและพิถีพิถัน ซึ่งผมหวังว่าจะเป็นแรงบันดาลใจให้ทุกท่านได้เริ่มต้นสร้างผลงานแฟชั่น AI ของตนเองในแบบที่ชื่นชอบ โดยกระบวนการทั้งหมดมี 10 ขั้นตอน ดังนี้:
ค้นคว้าภาพถ่ายจริงจากหอจดหมายเหตุแห่งชาติหรือแหล่งข้อมูลประวัติศาสตร์อื่น ๆ
ลงสีภาพขาวดำด้วย Palette หรือ Flux Kontext เพื่อคืนชีวิตให้ภาพ
ขยายขนาดและเพิ่มความคมชัดของภาพด้วย Midjourney หรือ Krea เพื่อให้พร้อมสำหรับการฝึกโมเดล
เทรนดาตาเซ็ตผ่าน Krea Training, Shakker Training หรือ Flux LoRA เพื่อสร้างโมเดลที่สามารถใช้สร้างภาพใหม่ได้
เพิ่มฉากหลังและตกแต่งองค์ประกอบต่าง ๆ ด้วย Midjourney Editing Suite หรือ Krea Editing Suite
ใช้ Magnific หรือ Freepik Upscale เพื่อเพิ่มรายละเอียดของเนื้อผ้า เครื่องประดับ และองค์ประกอบสำคัญ
ปรับสีหน้าและอารมณ์ของตัวละครด้วย PicSi AI
แก้ไของค์ประกอบใบหน้าด้วย Luminar Neo หรือ Photoshop Liquify ให้กลมกลืนและสมจริง
ใส่โลโก้หรือข้อความประกอบภาพด้วย Photo Mill X
เขียนบทความประกอบภาพและปรับเนื้อหาให้เหมาะสมด้วย ChatGPT
ในโพสต์นี้ ผมได้รวบรวมผลงานบางส่วนที่ภาคภูมิใจมาให้ทุกท่านชม ซึ่งแต่ละภาพสะท้อนถึงแฟชั่นไทยในหลากหลายยุคสมัยและสไตล์ที่แตกต่างกัน
ขอบคุณทุกท่านอีกครั้งที่อยู่เคียงข้างกัน สนับสนุน และช่วยกันรักษาเรื่องราวแฟชั่นไทยให้ยังคงมีชีวิตอยู่ต่อไปอย่างน่าชื่นชม
ด้วยความเคารพและขอบคุณจากใจจริง
ลุพธ์ อุตมะ
AI Fashion Lab
#aifashionlab #AI #aiartist #aiart #aifashion #aifashiondesign #aifashionstyling #aifashiondesigner #fashion #fashionhistory #historyoffashion #fashionstyling #fashionphotography #digitalfashion #digitalfashiondesign #digitalcostumedesign #digitaldesign #digitalaiart #ThaiFashionHistory #ThaiFashionAI #flux #fluxlora #fluxkontext
ย้อนรอย พระราชพิธีโสกันต์ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ เนื่องในวัฒนธรรม การไว้จุก ของเด็กไทยโบราณ
ย้อนรอย พระราชพิธีโสกันต์ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ เนื่องในวัฒนธรรม การไว้จุก ของเด็กไทยโบราณ เจ้านายพระองค์ใดโสกันต์คนแรก-คนสุดท้าย?
คอลเลกชันภาพที่สร้างด้วย AI เพื่อจำลองเครื่องแต่งกายในพิธีโสกันต์
บทความนี้เรียบเรียงขึ้นโดยอ้างอิงจากบทความต้นฉบับในนิตยสาร “ศิลปวัฒนธรรม” เพื่อประกอบการอธิบายภาพในคอลเลกชัน AI ที่จัดทำขึ้นเพื่อการศึกษาและอนุรักษ์วัฒนธรรม
คอลเลกชันภาพนี้เป็นผลงานที่สร้างขึ้นด้วย AI เพื่อจำลองเครื่องแต่งกายที่ใช้ในพระราชพิธีโสกันต์ โดยใช้เทคนิค Flux LoRA ในการฝึกฝนจากภาพถ่ายขาวดำต้นฉบับจากหอจดหมายเหตุแห่งชาติ ที่ได้รับการปรับแต่งและเพิ่มสีด้วยความละเอียดพิถีพิถันด้วย Flux Kontext แม้ AI จะยังไม่สามารถสร้างลวดลายงานปักแบบไทยโบราณได้อย่างละเอียดเท่าของจริง แต่ผลลัพธ์ที่ได้จากคอลเลกชันนี้ก็ยังคงงดงาม และสามารถถ่ายทอดเอกลักษณ์ของเครื่องแต่งกายพิธีโสกันต์ได้อย่างน่าชื่นชม
วัฒนธรรมการไว้ผมของเด็กไทยโบราณคือ การไว้จุก ทั้งเด็กชายและเด็กหญิง นับตั้งแต่พระราชโอรส พระราชธิดาของพระมหากษัตริย์ ลงมาถึงบุตรธิดาของขุนนาง ตลอดจนบุตรหลานของสามัญชน เมื่อเด็กอายุครบโกนจุก ( 7 ขวบ 9 ขวบ หรือ 11 ขวบ สำหรับเจ้านายผู้หญิงเมื่อครบ 11 ชันษา สำหรับเจ้านายผู้ชายเมื่อครบ 13 ชันษา ) ทางครอบครัวของเด็กจะจัดพิธีโกนจุกขึ้นตามแต่ฐานะและความสะดวก
พิธีโกนจุกถือเป็นหนึ่งในวัฒนธรรมอันเกี่ยวข้องกับการเกิด โดยจะมีความเชื่อในเรื่องขวัญมาเกี่ยวข้อง ทั้งยังบอกว่าเด็กกำลังก้าวย่างเข้าสู่ความเป็นผู้ใหญ่
พิธีโกนจุกมีคำที่ใช้เรียกตามแต่ฐานะของบุคคลนั้น ๆ กล่าวคือ ถ้าจัดพิธีสำหรับพระราชโอรส พระราชธิดา ที่ทรงมีพระอิสริยยศตั้งแต่ชั้นเจ้าฟ้า จนถึงชั้นพระองค์เจ้า จะเรียกว่า “โสกันต์” แต่ถ้าจัดสำหรับพระเจ้าหลานเธอหรือสมาชิกในราชสกุลวงศ์อื่น ๆ ในพระราชวงศ์ในลำดับชั้นหม่อมเจ้า จะใช้ว่า “เกศากันต์” ซึ่งเป็นพระราชพิธีเช่นเดียวกับพระราชพิธีโสกันต์ ต่างกันที่การแต่งองค์ทรงเครื่อง ตลอดจนพิธีแห่บางอย่างอาจเพิ่มลดตามลำดับพระเกียรติยศของเจ้านายพระองค์นั้น ๆพระราชพิธีโสกันต์ เจ้านายชั้นสมเด็จเจ้าฟ้านั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะทรงมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้มีการจัดงานอย่างยิ่งใหญ่สมพระอิสริยยศ และฐานันดรศักดิ์ของเจ้านายพระองค์นั้น ๆ สิ่งก่อสร้างที่จำลองขึ้นในพระราชพิธีโสกันต์คือ “เขาไกรลาส” อันเป็นสมมุติบรรพต “ภูเขาจำลอง” ในการประกอบพระราชพิธีตามโบราณราชประเพณี
Edward Molyneux และชุดราตรี ในสมัยรัชกาลที่ ๗ (ตอนที่ 2)
Edward Molyneux และชุดราตรี ในสมัยรัชกาลที่ ๗ (ตอนที่ 2)
เอ็ดเวิร์ด โมลีนิวซ์ (Edward Molyneux) เป็นนักออกแบบแฟชั่นชาวอังกฤษผู้มีชื่อเสียงในช่วงทศวรรษ 1930 ซึ่งมักได้รับการยกย่องว่าเป็นบุคคลสำคัญใน “ยุคทองของแฟชั่น (Golden Age of Fashion)” เขาเกิดในกรุงลอนดอนเมื่อปี ค.ศ. 1891 และเริ่มต้นอาชีพในอังกฤษ ก่อนจะย้ายไปเปิดห้องเสื้อชั้นสูง (haute couture house) ในกรุงปารีสเมื่อปี ค.ศ. 1919 โมลีนิวซ์ได้รับคำชื่นชมจากการออกแบบชุดราตรีที่สง่างาม โดยมีจุดเด่นอยู่ที่การตัดเย็บอย่างประณีตและการเลือกใช้ผ้าหรูหรา เช่น ผ้าไหมและผ้าซาติน โดยเฉพาะชุดราตรีสีขาวที่สร้างชื่อเสียงของเขา ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของความเรียบง่ายและความสง่างาม ตรงตามรสนิยมของสตรีชนชั้นสูงในยุคนั้น ลูกค้าคนสำคัญของเขา ได้แก่ สมเด็จพระราชินีแมรี วัลลิส ซิมป์สัน และนักแสดงชื่อดังอย่างเกรต้า การ์โบ ซึ่งการสนับสนุนจากบุคคลเหล่านี้ยิ่งช่วยเสริมสร้างชื่อเสียงของเขาในวงการแฟชั่น
เส้นทางอาชีพของโมลีนิวซ์รุ่งเรืองขึ้นในช่วงรัชสมัยของ สมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 5 แห่งสหราชอาณาจักร และ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 7) แห่งสยาม ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่โลกกำลังเผชิญการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองและวัฒนธรรม ทั้งในยุโรปและเอเชีย ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นชาวอังกฤษโดยกำเนิด แต่อาชีพของโมลีนิวซ์กลับสร้างชื่อเสียงให้กับเขาโดยงานออกแบบในกรุงปารีสเป็นหลัก ผลงานของเขาสะท้อนให้เห็นถึงสไตล์ของแฟชั่นชั้นสูงของฝรั่งเศส และมีส่วนสำคัญในการพัฒนาแฟชั่นสมัยใหม่ แม้เขาจะไม่ได้มีบทบาทโดยตรงในการกำหนดแนวทางแฟชั่นของอังกฤษ ด้วยเหตุนี้ โมลีนิวซ์จึงมักถูกมองว่าเป็นนักออกแบบชาวอังกฤษผู้ประสบความสำเร็จในโลกของแฟชั่นฝรั่งเศส โดยทิ้งมรดกแห่งความสง่างามแบบเรียบง่ายและหรูหราเอาไว้ ซึ่งกลายเป็นไอค่อนของแฟชั่นยุคทศวรรษ 1930 อย่างแท้จริง
Edward Molyneux and White Evening Gowns of 1930s
Edward Molyneux was a prominent British fashion designer in the 1930s, often regarded as a key figure in what is known as the "Golden Age of Fashion." Born in London in 1891, he began his career there before moving to Paris in 1919, where he established his haute couture house. Molyneux gained acclaim for his elegant evening gowns, characterised by meticulous tailoring and luxurious fabrics like silk and satin, particularly his well-known white dresses that epitomised grace and simplicity, catering to the tastes of high-society women of the era. His influential clientele included notable figures such as Queen Mary, Wallis Simpson, and Greta Garbo, whose patronage further elevated his status in the fashion world.
Molyneux’s career flourished during the reign of King George V of the United Kingdom and King Prajadhipok (Rama VII) of Siam—an era marked by both political change and cultural refinement in Europe and Asia. Despite being British by birth, Molyneux's career was largely defined by his work in Paris, where his designs reflected the prevailing French styles and contributed significantly to the evolution of modern fashion, even though he had little impact on British fashion directly. Thus, Molyneux is often seen as a successful British designer more aligned with French fashion, leaving a legacy of understated elegance that symbolised the fashion of the 1930s.
Tea Gown ในสยาม: แฟชั่นชุดดื่มนำ้ชาของสตรียุค 1930 ชุดเดรสกระโปรงยาวระดับครึ่งน่อง
ea Gown ในสยาม: แฟชั่นชุดดื่มนำ้ชาของสตรียุค 1930 ชุดเดรสกระโปรงยาวระดับครึ่งน่อง
ในช่วงทศวรรษที่ 1930 (พ.ศ. 2473–2482) ซึ่งตรงกับปลายรัชสมัยของ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 7)สยามกำลังเปลี่ยนผ่านทั้งด้านการเมือง เศรษฐกิจ และวัฒนธรรม การเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญนี้ส่งผลให้รูปแบบการแต่งกายของสตรีโดยเฉพาะในเขตเมืองหลวง เช่น กรุงเทพฯ เปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจน จาก ชุดไทยโบราณ ไปสู่ เครื่องแต่งกายแบบตะวันตกเต็มรูปแบบ
หนึ่งในสไตล์ที่ได้รับความนิยมคือ “Tea Gown” หรือ “ชุดน้ำชา” ซึ่งมีจุดเริ่มต้นจากยุโรปในศตวรรษที่ 19 โดยเป็นชุดที่สตรีสวมใส่ภายในบ้านในช่วงบ่าย แต่เมื่อเข้าสู่ยุคทศวรรษที่ 1930 สไตล์นี้ได้วิวัฒนาการให้เหมาะกับกิจกรรมทางสังคมกลางแจ้งมากขึ้น ชุดน้ำชาถูกดัดแปลงให้ มีความหรูหราแต่ยังสวมใส่สบาย ใช้ผ้าที่บางเบา เช่น ผ้าชีฟอง ผ้าไหม หรือผ้าเรยอง พิมพ์ลายดอกไม้ละเอียดอ่อน กลายเป็นสัญลักษณ์ของความเป็นสตรีผู้ดี มีรสนิยม และเปิดรับวัฒนธรรมตะวันตก
จุดเด่นของชุด Tea Gown ในสยาม
ทรงกระโปรงยาวระดับครึ่งน่อง (midi length) ให้ความสง่างามอย่างสากล ขณะเดียวกันก็สอดคล้องกับค่านิยมไทยในเรื่องความสุภาพ
แขนสั้นระบาย (flutter sleeves) เสริมความอ่อนหวานแบบผู้หญิง
หมวกปีกกว้างประดับดอกไม้ ช่วยป้องกันแดดและสร้างภาพลักษณ์อันหรูหรา
ถุงมือผ้าสีงาช้าง ตอกย้ำมารยาทและความประณีตตามแบบฉบับผู้ดีอังกฤษ
การปรับตัวของสตรีไทย
หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองใน พ.ศ. 2475 รัฐบาลมีนโยบายสนับสนุนการแต่งกายแบบตะวันตกเพื่อสะท้อนความทันสมัย สตรีไทยเริ่ม ตัดผมสั้นแบบ “ทรงบ๊อบดัดลอนคลื่น” หรือเซ็ตลอนแบบดาราหนังฮอลลีวูด และเลือกสวมชุดน้ำชาในงานเลี้ยงน้ำชา หรือกิจกรรมพบปะสังสรรค์ในหมู่ชนชั้นสูง การสวมใส่ tea gown กลายเป็นเครื่องแสดงสถานะของการศึกษา ความมีรสนิยม และการเปิดรับวัฒนธรรมโลกตะวันตก
แฟชั่นตะวันตกในราชสำนักไทย: แฟชั่นสตรีสยามยุครัชกาลที่ 6 (ตอนที่ ๒)
แฟชั่นตะวันตกในราชสำนักไทย: แฟชั่นสตรีสยามยุครัชกาลที่ 6 (ตอนที่ ๒)
แฟชั่นงานราตรีสโมสรของสตรีไทยในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว: แรงบันดาลใจจากความสง่างามในยุค 1920s
คอลเลกชันแฟชั่นที่สร้างขึ้นด้วย AI ชุดนี้ ได้รับแรงบันดาลใจจากพระบรมฉายาลักษณ์ ของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 6) ฉายร่วมกับข้าราชบริพาร ในปี พ.ศ. 2467 (1924) ในภาพนั้นผมรู้สึกประทับใจเป็นอย่างยิ่งกับชุดราตรีที่สวมใส่โดย พระนางเจ้าสุวัทนา และ พระสุจริตสุดา ซึ่งทั้งสองท่านสวมใส่ชุดราตรีสไตล์ตะวันตกตามแบบฉบับของยุค 1920s ทั้งในเรื่องของโครงร่างเงาของชุดแบบ flapper dress ที่มีเอวต่ำ กระโปรงพลีต ประกอบด้วยการปักและประดับด้วยลูกปัดและเลื่อม รวมถึงเครื่องประดับศีรษะแบบ bandeau ซึ่งเป็นแฟชั่นยอดนิยมในแวดวงสตรีชนชั้นสูงของยุโรปในขณะนั้น
ช่วงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (พ.ศ. 2453–2468) ถือเป็นยุคแห่งการเปิดรับวัฒนธรรมตะวันตก โดยเฉพาะในหมู่ชนชั้นนำของสยาม การแต่งกายแบบตะวันตกจึงกลายเป็นสัญลักษณ์ของความทันสมัยและความมีรสนิยม ชุดราตรีสตรีแบบตะวันตกซึ่งเคยเป็นของแปลกตาในสยาม กลับกลายเป็นเครื่องแต่งกายปกติในงานเลี้ยงสังสรรค์ งานพระราชพิธี และงานสังคมต่าง ๆ ของราชสำนัก โดยสตรีไทยเหล่านี้สามารถนำเสนอรูปแบบการแต่งกายตะวันตกได้อย่างงดงามสง่างามและกลมกลืนกับบุคลิกแบบไทย
ภาพในคอลเลกชันนี้สร้างขึ้นโดยเทคโนโลยี AI เพื่อจำลองความงามตามแบบฉบับของสตรีไทยในยุคต้นศตวรรษที่ 20 โดยถ่ายทอดผ่านเดรสยาวปักเลื่อมโทนสีพาสเทล ถุงมือยาวเหนือศอก (opera gloves) และเครื่องประดับสไตล์ art deco พร้อมทรงผมบ๊อบดัดลอนประดับด้วยที่คาดผมเพรช ไข่มุกหรือขนนก ซึ่งเป็นลุคที่นิยมอย่างแพร่หลายในหมู่สตรีสังคมยุโรป และได้รับการปรับใช้โดยสุภาพสตรีชั้นสูงของไทยอย่างประณีตงดงาม
คอลเลกชันนี้คือการเฉลิมฉลองช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนผ่านที่สำคัญในประวัติศาสตร์แฟชั่นของไทย ซึ่งแฟชั่นไม่เพียงแต่เป็นการตกแต่งภายนอก หากยังเป็นภาพสะท้อนของอัตลักษณ์ ความเป็นสมัยใหม่ และวิสัยทัศน์ที่มุ่งมั่นของชนชั้นนำไทยในยุคที่โลกเริ่มเชื่อมโยงกันมากขึ้น ความงามที่เกิดจากการผสมผสานระหว่างแฟชั่นตะวันตกกับจิตวิญญาณแบบไทยในยุคนี้ยังคงเป็นแรงบันดาลใจให้กับศิลปิน นักออกแบบ และผู้ที่หลงใหลในประวัติศาสตร์จนถึงทุกวันนี้
“วนิดา” จากนวนิยายสู่แฟชั่น AI ในสมัยรัชกาลที่ 7 (ตอนที่ 3)
“วนิดา” จากนวนิยายสู่แฟชั่น AI ในสมัยรัชกาลที่ 7 (ตอนที่ 3)
จินตนาการแฟชั่นแห่งกรุงเทพฯ ยุค 1930 ผ่านภาพที่สร้างสรรค์ด้วย AI
คอลเลคชั่นภาพที่สร้างสรรค์ด้วย Flux LoRA นี้ได้รับแรงบันดาลใจจากนวนิยายเรื่อง “วนิดา” บทประพันธ์อันโด่งดังของวรรณสิริ ที่ได้รับการวิเคราะห์โดยนักวรรณกรรมเช่น ว. วินิจฉัยกุล โดยนำเสนอเรื่องราวรักโรแมนติกที่ซ้อนทับกับบริบททางสังคมและความงดงามของแฟชั่นในประเทศไทยยุครัชกาลที่ 7 (พ.ศ. 2468–2477)
นางเอก “วนิดา” คือภาพแทนของหญิงสาวหัวสมัยใหม่ ที่มีบุคลิกโดดเด่น เป็นตัวของตัวเอง และมีความกล้าในการใช้ชีวิตในกรอบของขนบสังคมไทย การแต่งงานที่ไม่ได้เกิดจากความรักแต่แรกกับ พันตรีประจักษ์ มหศักดิ์ นายทหารม้ารักษาพระองค์ในรัชกาลที่ ๗ เป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องราวความขัดแย้ง การปรับตัว และความรักที่ค่อย ๆ ก่อตัวขึ้นอย่างละเมียดละไม
ซิลูเอตแฟชั่นในยุค 1930s: ความงามของการเปลี่ยนผ่าน
คอลเลคชั่นนี้เน้นการนำเสนอแฟชั่นสตรีที่สะท้อนพัฒนาการของยุค 1930 ซึ่งถือเป็นช่วงเวลาที่แฟชั่นโลกค่อย ๆ เปลี่ยนจากรูปแบบเรขาคณิตและความเรียบง่ายของยุค 1920 มาสู่สไตล์ที่เน้นความเป็นผู้หญิงมากขึ้น กระโปรงยาวระดับน่อง (midi length) กลับมาได้รับความนิยมอีกครั้ง เสื้อผ้าถูกออกแบบให้เน้นช่วงเอว และมีการใช้ผ้าโปร่ง ผ้าปักเลื่อม และลวดลายดอกไม้มากขึ้น เพื่อสร้างความอ่อนหวานและความสง่างามในแบบสตรี
ซิลูเอตของสุภาพบุรุษในภาพก็สะท้อนแฟชั่นตะวันตกช่วงต้นทศวรรษ 1930 ได้อย่างชัดเจน ด้วยเสื้อสูทแบบ double-breasted ที่มี ปกปีกใหญ่ (big peak lapel) ทรงสง่า รับกับกางเกงเอวสูงและขากว้าง ช่วยเสริมให้รูปร่างช่วงไหล่ถึงขาดูสมส่วนและภูมิฐานอย่างมีระดับ
เครื่องประดับ แรงบันดาลใจ และรสนิยมแบบสากล
หนึ่งในองค์ประกอบสำคัญที่ผมตั้งใจคงไว้ คือ ทรงผม finger waves ซึ่งยังคงได้รับความนิยมต่อเนื่องจากยุค 1920 สู่ต้นทศวรรษ 1930 โดยหญิงสาวไทยในสมัยนั้นจำนวนไม่น้อยยังนิยมดัดผมให้เป็นลอนคลื่นแนบศีรษะในลักษณะเดียวกับสตรีตะวันตก หรือที่สตรีไทยเรียกผมทรงนี้ว่า ทรงปันหยี ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของความทันสมัยและความงามที่ประณีตบรรจง
สุภาพสตรีในภาพสวมหมวกปีกกว้าง (wide-brim hat) ตกแต่งด้วยโบว์หรือดอกไม้ซาตินอย่างประณีต ส่วนสุภาพบุรุษมีทั้งหมวกฟางแบบปานามาและหมวกสักหลาดทรงเฟโดร่า สื่อถึงความสง่างามที่ได้รับอิทธิพลจากแฟชั่นยุโรปอย่างเต็มที่
รองเท้าของฝ่ายชายหลายคนในภาพยังเป็นแบบ two-tone oxford หรือ spectator shoes ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของความทันสมัยในยุคนั้น มักเป็นหนังสีตัดกัน เช่น น้ำตาล–ขาว หรือดำ–ขาว ซึ่งนิยมในหมู่ชนชั้นสูงที่ต้องการความเนี้ยบแต่ยังมีลูกเล่นและเอกลักษณ์เฉพาะตัว
แฟชั่นไทยกับอัตลักษณ์ในยุคสากล
ผมจินตนาการว่า สตรีชั้นสูงของสยามในยุคนั้นอาจรับเอาแฟชั่นตะวันตกเข้ามาปรับใช้ อย่างมีกลิ่นอายแบบไทย เช่น การเลือกใช้ผ้าพื้นเมือง ผ้าไหมบาง หรือการใช้ลายปักที่ละเอียดประณีตคล้ายงานหัตถกรรมพื้นถิ่น ร่วมกับเครื่องประดับแบบสากลอย่างสร้อยมุก หมวกปีกกว้าง และรองเท้าส้นสูง เพื่อสร้างลุคที่ดูร่วมสมัยและสง่างามในสังคมชั้นสูงของกรุงเทพฯ
หมวกปีกกว้างที่ปรากฏในภาพนี้ไม่ได้เป็นเพียงเครื่องประดับแฟชั่น แต่สะท้อนถึงการเรียนรู้และนำแบบแผนตะวันตกมาประยุกต์ใช้ ในขณะที่ยังรักษาเสน่ห์และความอ่อนช้อยของสตรีไทยไว้อย่างเด่นชัด ทั้งหมดนี้สะท้อนถึงการเปลี่ยนผ่านของบทบาทผู้หญิงไทยในทศวรรษ 1930 ซึ่งเริ่มมีเสรีภาพทางความคิด การศึกษา และบทบาทในสังคมมากขึ้นอย่างชัดเจน
ผมหวังว่าคอลเลคชั่นนี้จะเป็นประโยขน์และแรงบันดาลใจสำหรับคอสตูมดีไซน์เนอร์ ผู้กำกับและทีมสผู้ผลิตละครโทรทัศน์ ที่ต้องการอ้างอิงแฟชั่นยุค รัชกาลที่ 7 ภาพแต่ละภาพที่สร้างขึ้นด้วย AI ไม่เพียงเป็นภาพแฟชั่น แต่เป็นการถ่ายทอดพัฒนาการของอารมณ์ตัวละคร ถ่ายทอดช่วงเวลาที่ความรัก ความขัดแย้ง และหน้าที่ต่อสังคมถักทอเข้าด้วยกันอย่างละเอียดอ่อน ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นในช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนผ่านของโลกก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งส่งผลกระทบต่อชีวิตของผู้คนทั่วโลก รวมถึงสยามประเทศ
เสียงสะท้อนแห่งล้านนา: แฟชั่นจากเชียงใหม่ในยุคต้นรัชกาลที่ 7
เสียงสะท้อนแห่งล้านนา: แฟชั่นจากเชียงใหม่ในยุคต้นรัชกาลที่ 7
คอลเลกชัน AI ชุดนี้ได้รับแรงบันดาลใจจากแฟชั่นในสมัยรัชกาลที่ 7 และลวดลายผ้าซิ่นตีนจกของเชียงใหม่ โดยมีฉากหลังเป็นเมืองเชียงใหม่ในช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 ผมได้เพิ่มหมวกโคลช (cloche hat) ลงในภาพเพื่อเป็นการเพิ่มบริบททางด้านวัฒนธรรมและการแต่งกาย อันสะท้อนถึงกระแสแฟชั่นตะวันตกที่กำลังเฟื่องฟูในช่วงเวลาเดียวกัน
โครงการนี้เป็นการทดลองการผสมผสานอย่างงดงามระหว่างความถูกต้องทางประวัติศาสตร์และความสร้างสรรค์ด้วย AI โดยเน้นไปที่แฟชั่นของสยามในยุครัชกาลที่ 7 ช่วงทศวรรษ 1920 การออกแบบในโครงการนี้ได้นำซิลลูเอตต์แบบแฟลปเปอร์ ซึ่งได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในตะวันตก มาผสมผสานกับเอกลักษณ์แบบไทย โดยใช้รูปลักษณ์เอวต่ำที่เกิดจากการจับคู่เสื้อตัวยาวกับผ้าซิ่นแบบดั้งเดิม
ในการดำเนินโครงการนี้ ผมได้ฝึก AI สองโมเดลและใช้ร่วมกันโดยกำหนดน้ำหนักที่แตกต่างกัน โมเดลแรก ผมใช้แอปพลิเคชัน AI เพื่อเติมสีให้กับภาพถ่ายขาวดำต้นฉบับจากหอจดหมายเหตุแห่งชาติของไทย ซึ่งเป็นกระบวนการที่พิถีพิถันและใช้เวลามาก แต่ช่วยให้ชุดข้อมูลมีความถูกต้องทางประวัติศาสตร์อย่างแท้จริง โมเดลที่สองได้รับการฝึกเฉพาะสำหรับผ้าซิ่นโดยเฉพาะผ้าซิ่นตีนจกจากภาคเหนือ เพื่อรวบรวมความหลากหลายของ ลวดลาย ที่สะท้อนถึงความมั่งคั่งของมรดกสิ่งทอในยุคนั้น
ด้วยการผสมผสานโมเดลทั้งสอง ทำให้สามารถสร้างภาพที่สะท้อนซิลลูเอตต์แฟชั่นของยุค 1920 ได้อย่างถูกต้อง สีสันที่เลือกใช้แม้จะมีความทันสมัย แต่รูปลักษณ์ของแฟชั่นยังคงยึดมั่นในต้นแบบที่มาจากภาพถ่ายต้นฉบับอย่างแท้จริง วิธีการนี้ช่วยชุบชีวิตเสน่ห์ของแฟชั่นสยามในยุค 1920 ให้กลับมามีชีวิตอีกครั้งในรูปแบบที่ทั้งสดใหม่และยึดมั่นในประวัติศาสตร์อย่างแท้จริง
หนึ่งในร้อย: The 1934 Collection: การสร้างสรรค์แฟชั่นด้วย AI เพื่อรำลึกถึงจิตวิญญาแห่งนวนิยายต้นฉบับสุดคลาสสิกของดอกไม้สด (ตอนที่ ๒)
หนึ่งในร้อย: The 1934 Collection
แฟชั่น AI รำลึกถึงจิตวิญญาณต้นฉบับแห่งนวนิยายคลาสสิกของดอกไม้สด
หนึ่งในร้อย: The 1934 Collection คือคอลเลกชันแฟชั่นย้อนยุคที่รังสรรค์ผ่านเทคโนโลยี AI เพื่อถ่ายทอดความสง่างามของสยามในช่วงต้นทศวรรษ 2470 ได้อย่างละเมียดละไม โดยได้รับแรงบันดาลใจจากนวนิยาย หนึ่งในร้อย ผลงานอมตะของ "ดอกไม้สด" ซึ่งตีพิมพ์ครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2477 (ค.ศ. 1934) ในช่วงเวลาหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 อันเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของสังคมไทย
นวนิยายเล่าถึงความขัดแย้งระหว่างหัวใจของหญิงสาวหัวสมัยใหม่กับกรอบค่านิยมที่เคร่งครัดของชายหนุ่มผู้ยึดมั่นในระเบียบแบบแผนดั้งเดิม ความรักผิดฝาผิดตัวของทั้งสองคนกลายเป็นฉากสะท้อนของการเปลี่ยนผ่านในสังคมสยาม ซึ่งอยู่ระหว่างอารยธรรมตะวันตกกับจารีตประเพณีไทย
ในปี พ.ศ. 2567 (ค.ศ. 2024) หนึ่งในร้อย ได้รับการดัดแปลงเป็นละครโทรทัศน์ฉบับใหม่ ออกอากาศทางช่อง 3 เอชดี นำแสดงโดย ธนภพ ลีรัตนขจร และ อุรัสยา เสปอร์บันด์ พร้อมปรับเปลี่ยนฉากหลังของเรื่องให้อยู่ในช่วง พ.ศ. 2493–2502 (ค.ศ. 1950–1959) เพื่อสร้างอารมณ์ย้อนยุคในแบบร่วมสมัย
เครื่องแต่งกายละครฉบับนี้ออกแบบโดย ธวัชชัย เพชรวารา และ วิริยา พงศ์ขจร สองนักออกแบบผู้มีผลงานเด่นจาก กลกิโมโน (2558), ลิขิตรัก (2561) และ มาตาลดา (2566) ภายใต้แนวคิดของแอน ทองประสม ผู้จัดละคร ซึ่งตั้งใจลดทอนความถูกต้องทางประวัติศาสตร์ และเลือกใช้สไตล์แฟชั่นร่วมสมัยแบบรีเจนซีเพื่อให้เกิดอรรถรสทางภาพ วิริยาออกแบบเครื่องแต่งกายของตัวละครให้มีความวิจิตรวิบวับ และดึงกลิ่นอายของซีรีส์ Bridgerton: วังวนรัก เกมไฮโซ มาใช้บางส่วน ในขณะที่ชุดของตัวละครที่มีความคิดโบราณ เช่น “วิชัย” ก็มีการประยุกต์ลวดลายไทยเพื่อสะท้อนบุคลิก ส่วนชุดของ “อนงค์” หญิงสาวหัวสมัยใหม่ ใช้สีสันฉูดฉาดเพื่อสื่อถึงความเป็นอิสระและความกล้าหาญทางความคิด
คอลเลกชันแฟชั่นและการออกแบบเครื่องแต่งกายของ “หนึ่งในร้อย: The 1934 Collection” แตกต่างออกไปโดยสิ้นเชิง เพราะผมตั้งใจรังสรรค์แฟชั่นให้ตรงตามยุคสมัยที่นวนิยายเรื่องนี้ถือกำเนิดจริงในปี พ.ศ. 2477 (ค.ศ. 1934) โดยใช้แหล่งรูปถ่ายที่อ้างอิงทางประวัติศาสตร์ควบคู่กับการออกแบบด้วยปัญญาประดิษฐ์ (AI) เพื่อให้ภาพแฟชั่นออกมาอย่างสมจริงและตรงยุคมากที่สุด
แฟชั่นสตรีในยุค 1930s เป็นช่วงเวลาที่เปลี่ยนผ่านจากซิลูเอตทรงเลขาคณิตอันแข็งทื่อของยุค 1920s ไปสู่ความอ่อนช้อย ละมุนละไม และเน้นสรีระมากขึ้น เดรสยาวระดับกลางน่อง แขนระบาย หรือแขนผ้าโปร่งพลิ้ว คอเสื้อประดับลูกไม้หรือลูกปัดอย่างประณีต หมวกปีกกว้าง ถุงมือไข่มุก และรองเท้าหัวแหลม คือองค์ประกอบสำคัญที่สตรีชนชั้นกลางในสยามนิยมใช้เพื่อสะท้อนความเรียบร้อยตามค่านิยมตะวันตก
สำหรับแฟชั่นบุรุษ คอลเลกชันนี้เลือกนำเสนอ “ชุดสูทสามชิ้นแบบปกไขว้” หรือ three-piece suit พร้อมปกเสื้อยอดแหลม (peak lapel) ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของแฟชั่นสุภาพบุรุษในยุคนั้น เสริมความสง่างามด้วยหมวกเฟโดรา หรือหมวกปานามา และรองเท้าหนังแบบคลาสสิกแบบโทนสีสองสี ชุดสูทสไตล์นี้ม่ได้เป็นเพียงแฟชั่นที่นิยมในยุค 1930 เท่านั้น แต่ยังกลายเป็นชุดสูททรงคลาสสิคของผู้ชายจนถึงปัจจุปัน
คอลเลกชันนี้จึงไม่ใช่เพียงการ “แต่งกายย้อนยุค” แต่คือการตีความประวัติศาสตร์ด้วยมุมมองที่ถูกต้องตามประวัติศาสตร์ โดยใช้การเทรน AI ด้วย Flux Lora เพื่อสร้างสรรค์แฟชั่นที่มีความเที่ยงตรงอย่างสวยงาม ทั้งยังเป็นการรำลึกถึงจิตวิญญาณของนวนิยาย “หนึ่งในร้อย” ตามต้นฉบับอันงดงามที่ ดอกไม้สด ได้รังสรรค์ไว้เมื่อเกือบหนึ่งศตวรรษก่อน
จากทรงเลขาคณิตกลับสู่ความเป็นผู้หญิง: แฟชั่นสตรีสยายสมัยต้นรัชกาลที่ ๗ (พ.ศ. ๒๔๖๘–๒๔๗๓)
จากทรงเลขาคณิตกลับสู่ความเป็นผู้หญิง: แฟชั่นสตรีสยายสมัยต้นรัชกาลที่ ๗ (พ.ศ. ๒๔๖๘–๒๔๗๓)
เมื่อกรุงเทพฯ ก้าวเข้าสู่รัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวในปี พ.ศ. ๒๔๖๘ (1925) โลกของแฟชั่นสตรีกำลังอยู่ในจุดเปลี่ยนสำคัญเช่นกัน จากรูปทรงของชุดสุภาพสตรีทรงเลขาคณิตของยุคศิลปะอาร์ตเดโค (Art Deco)—ที่เน้นความทันสมัย ความสมมาตร และความมั่นใจ—แฟชั่นของสุภาพสตรีค่อย ๆ เคลื่อนกลับไปสู่รูปทรงที่อ่อนโยน และเข้ารูป มากยิ่งขึ้น
แฟชั่นยุค 1920s ภายใต้อิทธิพลของสไตล์อาร์ตเดโค ที่เปี่ยมไปด้วยจิตวิญญาณแห่งความก้าวหน้าและความเทันสมัย สตรีในสังคมชั้นสูงหันมาแต่งกายด้วยชุดทรงเรขาคณิต ลดทอนส่วนเว้าส่วนโค้งของเรือนร่าง เพื่อสื่อถึงอิสรภาพและความเท่าเทียมในยุคสมัยใหม่ แต่ทว่าพอเข้าสู่ปลายทศวรรษ รูปทรงของชุดสุภาพสตรีกลับคืนไปสู่ความพลิ้วไหวและสง่างามของสัดส่วนของร่างกาย
ในช่วงระหว่าง พ.ศ. ๒๔๗๑–๒๔๗๓ (1928-1930) แนวชายกระโปรงเริ่มลดต่ำลงอยู่ที่กลางน่อง และเอวก็เริ่มกลับมาอยู่ที่ระดับเอวธรรมชาติแทนที่อยู่ในระดับตำ่เกือบถึงสะโพก แม้ยังคงไว้ซึ่งความสบายจากการไม่มีโครงรัดรูปเช่นในยุคก่อน แต่เสื้อผ้าในช่วงนี้เริ่มแต่งเติมด้วยรายละเอียดที่ช่วยขับเน้นความอ่อนช้อยของเรือนร่าง เช่น ระบายช่วงอก ลูกไม้ประดับรอบแขน และการจัดวางลวดลายดอกไม้ให้ส่งเสริมความเป็นสตรีอย่างละเมียดละไม
คอลเลกชันภาพ AI ชุดนี้ เราเห็นได้ชัดถึงเสื้อผ้าของสตรีไทยในช่วงต้นรัชกาลที่ ๗ หากได้รับแฟชั่นตะวันตกอย่างเต็มรูปแบบ ชุดเหล่านี้แม้จะมีโครงสร้างแบบอาร์ตเดโคอยู่บ้าง แต่เพื่อละทอนความแข็งกระด้างของรูปทรง ผมจึงออกแบบชุดทั้งหมดด้วยการใช้ผ้าที่พลิ้วไหว เช่นผ้าชีฟอง สีครีมอ่อน ชมพูพาสเทล ฟ้าหม่น และเขียวอ่อน และปักด้วยลวดลายที่ละเอียดอ่อน ซึ่งล้วนสะท้อนถึงความงามอย่างเหรียบหรูของหญิงไทยในสมัยนั้น
การออกแบบแฟชั่นคอลเล็คชั่นี้ มีองค์ประกอบที่สำคัญคือ
หมวกปีกกว้าง ตกแต่งด้วยริบบิ้นสีตัดหรือดอกไม้ ให้ลุคแบบผู้ดีอังกฤษ
ถุงมือซาตินหรือถุงมือหนังสีงาช้าง ร่วมกับ ถุงน่องขาว คือสัญลักษณ์แห่งความพิถีพิถันในการแต่งกาย
สร้อยไข่มุกและผมดัดลอน คือรายละเอียดเล็ก ๆ ที่สร้างภาพลักษณ์อันอ่อนช้อยและสง่างาม
แฟชั่นในภาพเหล่านี้คือภาพสะท้อนของห้วงเวลาแห่งการเปลี่ยนผ่าน—จากรูปทรงแบบเลขาคณิตของแฟชั่นสไตล์อาร์ตเดโค สู่ความอ่อนหวานของความเป็นสตรีที่เริ่มกลับมาเป็นที่นิยม ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ความทันสมัยและวัฒนธรรมดั้งเดิมโอบรับกันได้อย่างกลมกลืน และหากสุภาพสตรีไทยในยุคนั้นได้รับการแต่งกายตามแบบตะวันตกอย่างเต็มตัว เราคงจะได้เห็นภาพเหล่านี้ในประวัติศาสตร์
จากนวนิยายสู่แฟชั่น AI – “วนิดา”: ความโรแมนติกและแฟชั่นในสมัยรัชกาลที่ 7 (ทศวรรษ 1930) (ตอนที่ 2)
จากนวนิยายสู่แฟชั่น AI – “วนิดา”: ความโรแมนติกและแฟชั่นในสมัยรัชกาลที่ 7 (ทศวรรษ 1930) (ตอนที่ 2)
คอลเลคชั่นภาพที่สร้างสรรค์ด้วย Flux LoRA นี้ได้รับแรงบันดาลใจจากนวนิยายเรื่อง “วนิดา” บทประพันธ์อันโด่งดังของวรรณสิริ ที่ได้รับการวิเคราะห์โดยนักวรรณกรรมเช่น ว. วินิจฉัยกุล โดยนำเสนอเรื่องราวรักโรแมนติกที่ซ้อนทับกับบริบททางสังคมและความงดงามของแฟชั่นในประเทศไทยยุครัชกาลที่ 7 (พ.ศ. 2468–2477)
นางเอก “วนิดา” คือภาพแทนของหญิงสาวหัวสมัยใหม่ ที่มีบุคลิกโดดเด่น เป็นตัวของตัวเอง และมีความกล้าในการใช้ชีวิตในกรอบของขนบสังคมไทย การแต่งงานที่ไม่ได้เกิดจากความรักแต่แรกกับ พันตรีประจักษ์ มหศักดิ์ นายทหารม้ารักษาพระองค์ในรัชกาลที่ ๗ เป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องราวความขัดแย้ง การปรับตัว และความรักที่ค่อย ๆ ก่อตัวขึ้นอย่างละเมียดละไม
คอลเลคชั่นนี้เน้นการนำเสนอแฟชั่นสตรีที่สะท้อนพัฒนาการของยุค 1930 ซึ่งถือเป็นช่วงเวลาที่แฟชั่นโลกค่อย ๆ เปลี่ยนจากรูปแบบเรขาคณิตและความเรียบง่ายของยุค 1920 มาสู่สไตล์ที่เน้นความเป็นผู้หญิงมากขึ้น กระโปรงยาวระดับน่อง (midi length) กลับมาได้รับความนิยมอีกครั้ง เสื้อผ้าถูกออกแบบให้เน้นช่วงเอว และมีการใช้ผ้าโปร่ง ผ้าปักเลื่อม และลวดลายดอกไม้มากขึ้น เพื่อสร้างความอ่อนหวานและความสง่างามในแบบสตรี
หนึ่งในองค์ประกอบสำคัญที่ผมตั้งใจคงไว้ คือทรงผม finger waves ซึ่งยังคงได้รับความนิยมต่อเนื่องจากยุค 1920 สู่ต้นทศวรรษ 1930 โดยหญิงสาวไทยในสมัยนั้นจำนวนไม่น้อยยังนิยมดัดผมให้เป็นลอนคลื่นแนบศีรษะในลักษณะเดียวกับสตรีตะวันตก หรือที่สตรีไทยเรียกผมทรงนี้ว่า ทรงปันหยี ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของความทันสมัยและความงามที่ประณีตบรรจง
ผมจินตนาการว่า สตรีชั้นสูงของสยามในยุคนั้นอาจรับเอาแฟชั่นตะวันตกเข้ามาปรับใช้ อย่างมีกลิ่นอายแบบไทย เช่น การเลือกใช้ผ้าพื้นเมือง ผ้าไหมบาง หรือการใช้ลายปักที่ละเอียดประณีตคล้ายงานหัตถกรรมพื้นถิ่น ร่วมกับเครื่องประดับแบบสากลอย่างสร้อยมุก หมวกปีกกว้าง และรองเท้าส้นสูง เพื่อสร้างลุคที่ดูร่วมสมัยและสง่างามในสังคมชั้นสูงของกรุงเทพฯ
หมวกปีกกว้างที่ปรากฏในภาพนี้ไม่ได้เป็นเพียงเครื่องประดับแฟชั่น แต่สะท้อนถึงการเรียนรู้และนำแบบแผนตะวันตกมาประยุกต์ใช้ ในขณะที่ยังรักษาเสน่ห์และความอ่อนช้อยของสตรีไทยไว้อย่างเด่นชัด ทั้งหมดนี้สะท้อนถึงการเปลี่ยนผ่านของบทบาทผู้หญิงไทยในทศวรรษ 1930 ซึ่งเริ่มมีเสรีภาพทางความคิด การศึกษา และบทบาทในสังคมมากขึ้นอย่างชัดเจน
ภาพแต่ละภาพที่สร้างขึ้นด้วย AI ไม่เพียงเป็นภาพแฟชั่น แต่เป็นการถ่ายทอดพัฒนาการของอารมณ์ตัวละคร ถ่ายทอดช่วงเวลาที่ความรัก ความขัดแย้ง และหน้าที่ต่อสังคมถักทอเข้าด้วยกันอย่างละเอียดอ่อน ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นในช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนผ่านของโลกก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งส่งผลกระทบต่อชีวิตของผู้คนทั่วโลก รวมถึงสยามประเทศ
ชุดราตรีแบบตะวันตกในสยาม กับอัตลักษณ์ใหม่และความศิวิไลซ์ในสมัยรัชกาลที่ ๗
ชุดราตรีแบบตะวันตกในสยาม กับอัตลักษณ์ใหม่และความศิวิไลซ์ในสมัยรัชกาลที่ ๗
ทศวรรษ 1930 เป็นช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนผ่านครั้งสำคัญของสยาม ไม่เพียงแต่ในด้านการเมืองเท่านั้น หากแต่รวมถึงด้านการแต่งกายที่เห็นได้ชัดเจน คอลเล็คชั่นภาพที่ได้รับการสร้างสรรค์ด้วย AI ผ่านการเทรนโมเดล Flux LoRA เหล่านี้ บันทึกช่วงเวลาที่ชนชั้นสูงในสังคมสยามเริ่มหันมาแต่งกายด้วยชุดราตรีแบบตะวันตกอย่างสง่างาม ชุดเดรสผ้าซาตินที่ตัดเย็บด้วยเทคนิคการตัดหน้าผ้าแบบเฉียง (bias cut) พร้อมกับถุงมือยาวสีขาว และสูทหางยาวsinvเสื้อโค้ทเพนกวิ้น (tailcoat) สำหรับสุภาพบุรุษ ล้วนเป็นมากกว่าการตามกระแสแฟชั่น หากคือถ้อยแถลงแห่งความเป็นสมัยใหม่ของประเทศที่กำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
แฟชั่นชุดราตรีแบบตะวันตก
ชุดราตรีของผู้หญิงในคอลเล็คชั่นนี้ ผมได้รับแรงบันดาลใจจากชุดของดีไซเนอร์ระดับตำนานอย่างมาดแลน วิโอเนต์ (Madeleine Vionnet) เจ้าของฉายา “ราชินีแห่งการตัดเย็บแบบไบเอสคัท” สตรีชั้นสูงของสยามในยุคนั้นเริ่มสวมใส่ชุดราตรีที่เข้ารูปกับเรือนร่างอย่างอ่อนช้อย โดยมักตัดเย็บจากผ้าซาติน และเสริมลุคด้วยถุงมือยาวระดับข้อศอกสีขาวหรือสีงาช้าง ซึ่งสะท้อนรสนิยมแบบฝรั่งเศสที่หรูหราและกลิ่นอายของแฟชั่นสากลนิยม
ขณะเดียวกัน ฝ่ายบุรุษก็แต่งกายเต็มยศด้วยชุด White Tie หรือที่นิยมเรียกรวมว่า The Tails ซึ่งถือเป็นรูปแบบการแต่งกายสุภาพบุรุษที่เป็นทางการสูงสุด โดยชุดนี้ประกอบด้วย เสื้อ Tailcoat สีดำ ซึ่งมีลักษณะเฉพาะคือด้านหน้าสั้นเท่าระดับสะโพก และชายด้านหลังยาวลงมาถึงเหนือเข่า คล้ายหางนกเพนกวิน ซึ่งบางคนก็เรียกขำ ๆ ว่า “เสื้อโค้ตเพนกวิน” ตามรูปลักษณ์อันโดดเด่น
เสื้อ Tailcoat นี้จะสวมทับเสื้อเชิ้ตสีขาวที่มีคอปกแข็งแบบปีกนก (wing collar) คู่กับ เสื้อกั๊กผ้าปิเก้สีขาว และ โบไทสีขาว (white bow tie) กางเกงที่ใช้จะต้องเป็นกางเกงสีดำผ้าชนิดเดียวกับตัวเสื้อ โดยไม่มีขอบเอวแบบเข็มขัด และมักตกแต่งด้วยแถบผ้าซาตินที่ตะเข็บด้านข้าง
เมื่อประกอบกันทั้งชุดแล้ว จึงเรียกว่า “White Tie” ซึ่งเป็น dress code ที่เข้มงวดที่สุดในการเข้าสู่งานพิธีการระดับสูง ไม่ว่าจะเป็น งานพระราชพิธี งานเต้นรำการทูต งานราตรีการกุศล หรือ งานเลี้ยงของราชสำนักในยุโรป และในยุคสมัยของรัชกาลที่ ๗ ก็ได้เริ่มมีการสวมใส่ชุดนี้ในแวดวงชนชั้นสูงของสยามอย่างแพร่หลาย โดยถือเป็นการสะท้อนถึงความเข้าใจในระเบียบแบบแผนตะวันตก และการมีส่วนร่วมในวัฒนธรรมสากลอย่างแท้จริง ชุด White Tie จึงไม่ใช่เพียงเครื่องแต่งกายของสุภาพบุรุษ แต่เป็นเสมือนภาษาของงานพิธีการ (language of ceremony) ที่สื่อถึงเกียรติ ความภาคภูมิ และสถานะในสังคม
แฟชั่นและค่านิยมการแต่งกาย
งานเลี้ยงรับรองตามสถานทูต งานเต้นรำการทูต ไปจนถึงงานกาลาเพื่อการกุศล กลายเป็นเวทีที่ให้ชนชั้นนำในสยามได้สวมใส่เครื่องแต่งกายเหล่านี้ และเข้าร่วมในพิธีการแบบตะวันตก ซึ่งมิได้เป็นเพียงกิจกรรมแห่งสังคมชั้นสูง แต่คือการสะท้อนความตั้งใจของราชสำนักที่จะนำสยามเข้าสู่สังคมอารยะโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับมหาอำนาจอย่างอังกฤษและฝรั่งเศส
แฟชั่นตะวันตกในยุคนั้นจึงเป็นเสมือนหนึ่งในวิธีการแสดงวิสัยทัศน์ของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๗) ในการผลักดันประเทศให้ก้าวสู่ความทันสมัย ไม่ว่าจะเป็นการส่งเจ้านายและขุนนางไปศึกษายังต่างประเทศ การเปิดรับที่ปรึกษาชาวตะวันตกเข้ามาร่วมบริหารราชการแผ่นดิน ไปจนถึงการริเริ่มแนวทางการปกครองแบบรัฐธรรมนูญ โดยมีเป้าหมายให้สยามค่อย ๆ เปลี่ยนผ่านจากสมบูรณาญาสิทธิราชย์ไปสู่ระบอบที่มีลักษณะคล้าย constitutional monarchy ตามแบบอย่างอังกฤษ
ทั้งนี้ แม้ว่าการแต่งกายแบบราตรีตะวันตกในราชสำนักสยามจะกลายเป็นที่แพร่หลายอย่างชัดเจนในช่วงรัชสมัยของรัชกาลที่ ๗ แต่รากฐานของประเพณีดังกล่าวเริ่มต้นขึ้นตั้งแต่ในสมัยของ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๖) ซึ่งทรงเป็นพระมหากษัตริย์พระองค์แรกของสยามที่ได้รับการศึกษาระดับมหาวิทยาลัยในประเทศอังกฤษ และทรงมีความชำนาญในการรับวัฒนธรรมตะวันตกโดยเฉพาะในด้านศิลปะ พิธีการ และการแต่งกาย
รัชกาลที่ ๖ ทรงส่งเสริมให้ข้าราชบริพารและขุนนางในราชสำนักแต่งกายแบบยุโรปในงานราชการและพิธีการอย่างเป็นทางการ รวมถึงการจัดงานเลี้ยง งานเต้นรำ และพิธีต้อนรับคณะทูตจากต่างประเทศ ซึ่งมีการกำหนด dress code ตามแบบแผนสากลอย่างชัดเจน การแต่งกายด้วยชุดราตรีในแบบ White Tie จึงเริ่มเข้าสู่ราชสำนักในช่วงนั้น และกลายเป็นธรรมเนียมใหม่ที่แสดงถึงอารยธรรมและความทัดเทียมกับนานาอารยประเทศ
เมื่อถึงรัชกาลที่ ๗ พระองค์จึงมิได้เป็นเพียงผู้สืบทอดธรรมเนียมนี้ แต่ยังทรง สานต่อและยกระดับ การแต่งกายแบบตะวันตกให้เป็น ส่วนหนึ่งของนโยบายทางวัฒนธรรม ที่สะท้อนถึงภาพลักษณ์ของสยามในฐานะรัฐอารยะ โดยทรงผสมผสานวิสัยทัศน์ด้านการปกครองเข้ากับการแสดงออกทางสัญลักษณ์ผ่านเครื่องแต่งกาย—เพื่อแสดงความพร้อมของประเทศที่จะก้าวเข้าสู่ระเบียบโลกใหม่ในแบบตะวันตก
ด้วยภูมิหลังที่ทรงได้รับการศึกษาที่ประเทศอังกฤษตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์ ร่วมกับสมเด็จพระบรมเชษฐาธิราช (รัชกาลที่ ๖) ซึ่งทั้งสองพระองค์ต่างเป็นพระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๕) ที่ทรงมีพระราชดำริให้พระราชโอรสจำนวนมากเดินทางไปศึกษาในยุโรป พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงทรงมีความรู้ลึกซึ้งเกี่ยวกับธรรมเนียมการแต่งกายแบบอังกฤษและยุโรป ทั้งในแง่ความงาม ความเหมาะสม และระเบียบแบบแผนในงานพิธีต่าง ๆ ซึ่งย่อมส่งผลต่อวัฒนธรรมการแต่งกายของราชสำนักและชนชั้นนำในยุคนั้นอย่างชัดเจน
ดังนั้น การแต่งกายด้วยชุดราตรีแบบตะวันตกจึงมิใช่เพียงการตามอย่างแฟชั่น หากเป็น สัญลักษณ์แห่งความใฝ่ฝัน ความมีอารยะ และเครื่องมือทางการเมือง ที่สื่อถึงบทบาทของสยามในฐานะประเทศเอกราช ที่กำลังเจรจาอัตลักษณ์ของตนเองท่ามกลางแรงกดดันจากลัทธิล่าอาณานิคมที่รายล้อมอยู่โดยรอบ
ความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองและวัฒนธรรม
แม้สยามในยุคทศวรรษ 1930 จะดูสง่างามในแง่วัฒนธรรม ทว่าในเชิงการเมืองกลับเต็มไปด้วยคลื่นแห่งความเปลี่ยนแปลง การเปลี่ยนแปลงการปกครองในปี 2475 ได้ยุติระบบการปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ และเปลี่ยนผ่านไปสู่ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข (constitutional monarchy) การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้นำไปสู่การสละราชสมบัติของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวในปี 2478 ซึ่งเป็นการลดบทบาทของราชสำนักในด้านการเป็นผู้นำทางวัฒนธรรมและการแต่งกาย แต่การแต่งกายแบบตะวันตกก็ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นภายใต้การนำของจอมพลแปลก พิบูลสงคราม (พลเอก พิบูลสงคราม) ผู้ขึ้นสู่อำนาจในปลายทศวรรษ 1930 รัฐบาลของจอมพล ป. ได้ออกนโยบายทางวัฒนธรรม หรือ “รัฐนิยม” ที่มีจุดมุ่งหมายเพื่อ "ทำให้คนไทยเป็นคนอารยะ" โดยการปรับมาใช้ค่านิยมของชาติตะวันตก รวมถึงการกำหนดเครื่องแต่งกายสำหรับข้าราชการ การบังคับใช้เวลาที่เคร่งครัด และแม้กระทั่งการเปลี่ยนชื่อประเทศจาก “สยาม” เป็น “ประเทศไทย” ในปี 2482
ชุดราตรีตะวันตก—อัตลักษณ์ใหม่และความเปลี่ยนผ่านของสยาม
ชุดราตรีแบบตะวันตกที่ปรากฏขึ้นในราชสำนักและแวดวงชนชั้นสูงของสยามในทศวรรษ 1930 จึงไม่ใช่เพียงภาพของความหรูหราตามแบบแฟชั่นยุโรป หากคือสัญลักษณ์ของกระบวนการแปลงโฉมประเทศที่กำลังเดินเข้าสู่ความทันสมัยอย่างเต็มรูปแบบ ทั้งในด้านวัฒนธรรม การศึกษา การปกครอง และภาพลักษณ์ระหว่างประเทศ
จากสมัยรัชกาลที่ ๗ ที่แฟชั่นกลายเป็นเครื่องสะท้อนวิสัยทัศน์ของกษัตริย์ผู้ได้รับการศึกษาตะวันตก ไปสู่ยุคของรัฐบาลใหม่ที่ใช้นโยบายรัฐนิยมผลักดันให้ประชาชนแต่งกายแบบสากล เสื้อผ้าแบบตะวันตกได้เปลี่ยนสถานะจากสัญลักษณ์ของชนชั้นสูง กลายเป็นเครื่องแบบของความเป็น “ไทยสมัยใหม่” ที่รัฐต้องการให้ประชาชนยึดถือ
เมื่อพิจารณาในบริบทประวัติศาสตร์ทั้งหมดนี้ ชุดราตรีตะวันตกจึงเป็นมากกว่าเรื่องของความงามหรือความหรูหรา หากคือภาพแทนของช่วงเปลี่ยนผ่านแห่งอัตลักษณ์สยาม—จากระบบเก่าไปสู่โลกสมัยใหม่ จากอาณาจักรที่ระวังตัวต่อโลกภายนอก สู่ประเทศที่กล้าประกาศบทบาทบนเวทีโลก
ไม่ว่าจะถูกสวมใส่โดยสุภาพสตรีในเดรสผ้าไบแอส หรือสุภาพบุรุษในชุด Tails ที่สง่างาม ชุดราตรีตะวันตกได้กลายเป็น “ผืนผ้าแห่งความศิวิไลซ์” ซึ่งยังคงมีอิทธิพลต่อความทรงจำทางวัฒนธรรมและสุนทรียะของไทยตราบจนปัจจุบัน
จินตนาการแฟชั่นชุดแต่งงานในสยาม ยุค 1920s: ยุคใหม่แห่งความสง่างามในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖
จินตนาการแฟชั่นชุดแต่งงานในสยาม ยุค 1920s: ยุคใหม่แห่งความสง่างามในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖
ในช่วงปลายรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 6 พ.ศ. 2453–2468) สยามยืนอยู่บนจุดเปลี่ยนสำคัญระหว่างประเพณีดั้งเดิมและความเป็นสมัยใหม่ ยุคสมัยนี้คือช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนผ่านทางวัฒนธรรมที่สำคัญยิ่ง เมื่อความงดงามแบบตะวันตกเริ่มซึมซับเข้ากับรสนิยมแบบไทย และเกิดเป็นอัตลักษณ์ร่วมสมัยที่มีเสน่ห์ไม่เหมือนใคร แฟชั่น โดยเฉพาะเครื่องแต่งกายสำหรับงานวิวาห์ จึงกลายเป็นเวทีที่แสดงให้เห็นถึงการสนทนาทางวัฒนธรรมระหว่างโลกตะวันออกและตะวันตก คอลเลกชันที่สร้างขึ้นด้วย AI ชุดนี้ เป็นการสดุดีช่วงเวลาแห่งประวัติศาสตร์ดังกล่าว โดยจินตนาการถึงชุดเจ้าบ่าวเจ้าสาวผ่านเลนส์ของแฟชั่นยุค 1920s ซึ่งเคารพต่อวัฒนธรรมการแต่งกายแบบไทยและโอบรับความสร้างสรรค์จากตะวันตกไปพร้อมๆกัน
ชุดเจ้าสาว: สไตล์อา ลา การ์ซอน (à la garçonne) แห่งสยาม
จุดเริ่มต้นของคอลเลกชันนี้ไม่ได้ถือกำเนิดจากเพียงแนวคิดทางแฟชั่น หากแต่มาจากคำถามที่เปี่ยมด้วยความฝันของว่าที่เจ้าสาวท่านหนึ่ง — ผู้ติดตามผลงานแฟชั่น AI ยุค 1920s ของผมเกือบจะทุกคอลเล็คชั่น เธอหลงใหลในเสน่ห์ของแฟชั่นเครื่องแต่งกายและการออกแแบบของยุคอาร์ตเดโค และใฝ่ฝันที่จะจัดงานแต่งงานที่สะท้อนบรรยากาศของยุคนี้ ขณะเดียวกันก็ปรารถนาที่จะรักษาความสง่างามแบบไทยไว้ด้วย
ขณะที่กำลังวางแผนจัดงานแต่งงานในธีมอาร์ตเดโค เธอเล่าว่าแรงบันดาลใจจากผลงานแฟชั่น AI ของผมนั้นมีอิทธิพลต่อทุกรายละเอียด ตั้งแต่ชุดของแขกผู้ร่วมงานไปจนถึงชุดของเพื่อนเจ้าสาว ทว่ามีเพียงสิ่งเดียวที่เธอยังไม่แน่ใจ — เธอไม่รู้ว่าเจ้าสาวไทยในยุค 1920s ควรจะแต่งกายอย่างไร
และนั่นคือจุดเริ่มต้นของการเดินทางครั้งนี้ — การสร้างสรรค์ชุดเจ้าสาวที่ไม่ใช่เพียงแค่แฟชั่น แต่คือบทสนทนาระหว่างประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม และจินตนาการ ออกแบบด้วยความเคารพในรากเหง้าทางวัฒนธรรม และพิถีพิถันในทุกรายละเอียด
คำว่า à la garçonne เป็นภาษาฝรั่งเศส แปลตรงตัวว่า “แบบเด็กผู้ชาย” ซึ่งกลายเป็นคำนิยามแฟชั่นที่โดดเด่นในยุค 1920s โดยเฉพาะในหมู่หญิงสาวยุคใหม่ที่ต้องการหลุดพ้นจากค่านิยมดั้งเดิมของความเป็นสตรี รูปแบบของ à la garçonne เน้นเส้นสายเรียบตรง เอวต่ำ รูปทรงกระบอก และชายกระโปรงที่สั้นเหนือข้อเท้า — สะท้อนเสรีภาพ ความกล้าหาญ และแนวคิดสตรีนิยมที่กำลังงอกงาม
ในสยามช่วงปลายรัชกาลที่ 6 แฟชั่นในแนวนี้ค่อย ๆ ซึมซับเข้าสู่ชนชั้นสูงที่ได้รับการศึกษาแบบตะวันตก คอลเลกชันนี้จึงเป็นการตีความ à la garçonne ในแบบไทย — ด้วยเสื้อ คอกระเช้า หรือ เสื้อแขนกระบอก ที่ปักดิ้นทองอย่างละเอียด จับคู่กับ ผ้าซิ่นตีนจก หรือผ้าซิ่นไหมยกดิ้นทอง ที่ความยาวของผ้าซิ่นอยู่ในระดับใต้เข่า
หัวใจของการออกแบบ คือการใช้โทนสีงาช้างและทอง — ซึ่งเป็นสีที่สื่อถึงความบริสุทธิ์ ความเป็นสิริมงคล และความเรียบหรูสง่างาม ผมสร้างสรรค์ให้เจ้าใช้ ผ้าคลุมศรีษะแบบเจ้าสาวในโลกตะวันตก ร่วมกับ bandeau หรือ เทียร์ร่า ที่ได้รับอิทธิพลจากกระแสแฟชั่นในยุคแจ๊ส ของชุดราตรีของดาราฮอลลีวูดและเจ้าหญิงในทวีปยุโรป ผมได้ออกแบบให้ชุดเจ้าสาวเซ็ตนี้ มาควบคู่กับถุงมือซาตินและถุงน่องสีขาว เพื่อเสริมความสง่างามตามธรรมเนียมของสตรีชั้นสูงในโลกตะวันตก และทำให้ชุดเจ้าสาวมีความเป็นสากลมากขึ้น
ทั้งหมดนี้คือการจินตนาการและสร้างสรรค์ภาพลักษณ์ของ เจ้าสาวไทยในโลกสมัยใหม่ แห่งยุค 1920 — ผู้ที่กล้าน้อมรับอัตลักษณ์ใหม่แบบสากล แต่ทว่ายังฝังแน่นอยู่กับความภาคภูมิในรากเหง้าไทย เและผู้เป็นตัวแทนของผู้หญิงไทยในยุคที่แฟชั่นโลกกำลังเปลี่ยนผ่านอย่างงดงามที่สุด
ชุดเจ้าบ่าว: เครื่องแบบแห่งความทันสมัย
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเป็นผู้อุปถัมภ์การแต่งกายแบบตะวันตก โดยเฉพาะเครื่องแบบทหารที่ได้รับการดัดแปลงมาใช้กับข้าราชการพลเรือนอย่างแพร่หลาย ในรัชสมัยของพระองค์ เครื่องแบบราชการ ชุดขาว กลายเป็นสัญลักษณ์ของความทันสมัย ความเจริญก้าวหน้า และสถานะของชนชั้นนำ
ในคอลเลกชันนี้ เจ้าบ่าวสวมเสื้อราชปะแตนสีขาวหรือสีงาช้าง คอจีนแบบ Nehru-style และประดับเครื่องหมายเกียรติยศหรืออินทรธนูตามแบบตะวันตกอย่างสง่างาม พร้อมกับกางเกงสีขาวเข้าชุดกัน — แฟชั่นชุดขาวได้กลายมาเป็นภาพลักษณ์ที่ทั้งร่วมสมัย สง่างาม และยังคงจิตวิญญาณของความเป็นไทยอย่างแท้จริง แม้เครื่องแบบเหล่านี้จะมีโครงสร้างแบบตะวันตก แต่ก็สะท้อนถึงอัตลักษณ์ของราชสำนักไทยในยุคที่เปิดรับวัฒนธรรมสากลเพื่อขับเคลื่อนประเทศสู่ความทันสมัย
สดุดีแด่ความทรงจำ
ภาพแฟชั่น AI ชุดแต่งงานในยุค 1920 คอลเลกชันนี้มิใช่เพียงแค่การสร้างสรรค์แฟชั่นจากจินตนาการ แต่คือบทสดุดีต่อวิวัฒนาการของแฟชั่นไทย ในประวัติศาสตร์ ซึ่งสามารถจัดเก็บเป็นมรดกทางวัฒนธรรมได้ด้วย ผมรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ผลงานของผมสามารถจุดประกายความฝันและเป็นแรงบันดาลใจ ในการสร้างสรรค์งานแต่งงาน ให้กับเจ้าสาวคนหนึ่ง ซึ่งเป็นงานที่สำคัญที่สุดของเธอ
ประวัติศาสตร์แฟชั่น และแฟชั่นในประวัติศาสตร์ มิใช่เพียงเรื่องราวหรือสมบัติที่รอการอนุรักษ์ หากแต่ยังเป็นพื้นที่แห่งการฟื้นชีวิต การตีความใหม่ และการสร้างสรรค์อย่างต่อเนื่องเพื่อให้สอดคล้องกับบริบทของยุคสมัย คอลเลกชันนี้คือการเฉลิมฉลองความงามอันไร้กาลของมรดกการแต่งกายแบบไทย และในขณะเดียวกันก็เป็นการเปิดบทสนทนาที่น่าสนใจเกี่ยวกับแฟชั่นยุคอาร์ตเดโค
หนึ่งในร้อย: The 1934 Collection
หนึ่งในร้อย: The 1934 Collection
แฟชั่น AI รำลึกถึงจิตวิญญาณต้นฉบับแห่งนวนิยายคลาสสิกของดอกไม้สด
หนึ่งในร้อย: The 1934 Collection คือคอลเลกชันแฟชั่นย้อนยุคที่รังสรรค์ผ่านเทคโนโลยี AI เพื่อถ่ายทอดความสง่างามของสยามในช่วงต้นทศวรรษ 2470 ได้อย่างละเมียดละไม โดยได้รับแรงบันดาลใจจากนวนิยาย หนึ่งในร้อย ผลงานอมตะของ "ดอกไม้สด" ซึ่งตีพิมพ์ครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2477 (ค.ศ. 1934) ในช่วงเวลาหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 อันเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของสังคมไทย
นวนิยายเล่าถึงความขัดแย้งระหว่างหัวใจของหญิงสาวหัวสมัยใหม่กับกรอบค่านิยมที่เคร่งครัดของชายหนุ่มผู้ยึดมั่นในระเบียบแบบแผนดั้งเดิม ความรักผิดฝาผิดตัวของทั้งสองคนกลายเป็นฉากสะท้อนของการเปลี่ยนผ่านในสังคมสยาม ซึ่งอยู่ระหว่างอารยธรรมตะวันตกกับจารีตประเพณีไทย
ในปี พ.ศ. 2567 (ค.ศ. 2024) หนึ่งในร้อย ได้รับการดัดแปลงเป็นละครโทรทัศน์ฉบับใหม่ ออกอากาศทางช่อง 3 เอชดี นำแสดงโดย ธนภพ ลีรัตนขจร และ อุรัสยา เสปอร์บันด์ พร้อมปรับเปลี่ยนฉากหลังของเรื่องให้อยู่ในช่วง พ.ศ. 2493–2502 (ค.ศ. 1950–1959) เพื่อสร้างอารมณ์ย้อนยุคในแบบร่วมสมัย
เครื่องแต่งกายละครฉบับนี้ออกแบบโดย ธวัชชัย เพชรวารา และ วิริยา พงศ์ขจร สองนักออกแบบผู้มีผลงานเด่นจาก กลกิโมโน (2558), ลิขิตรัก (2561) และ มาตาลดา (2566) ภายใต้แนวคิดของแอน ทองประสม ผู้จัดละคร ซึ่งตั้งใจลดทอนความถูกต้องทางประวัติศาสตร์ และเลือกใช้สไตล์แฟชั่นร่วมสมัยแบบรีเจนซีเพื่อให้เกิดอรรถรสทางภาพ วิริยาออกแบบเครื่องแต่งกายของตัวละครให้มีความวิจิตรวิบวับ และดึงกลิ่นอายของซีรีส์ Bridgerton: วังวนรัก เกมไฮโซ มาใช้บางส่วน ในขณะที่ชุดของตัวละครที่มีความคิดโบราณ เช่น “วิชัย” ก็มีการประยุกต์ลวดลายไทยเพื่อสะท้อนบุคลิก ส่วนชุดของ “อนงค์” หญิงสาวหัวสมัยใหม่ ใช้สีสันฉูดฉาดเพื่อสื่อถึงความเป็นอิสระและความกล้าหาญทางความคิด
คอลเลกชันแฟชั่นและการออกแบบเครื่องแต่งกายของ “หนึ่งในร้อย: The 1934 Collection” แตกต่างออกไปโดยสิ้นเชิง เพราะผมตั้งใจรังสรรค์แฟชั่นให้ตรงตามยุคสมัยที่นวนิยายเรื่องนี้ถือกำเนิดจริงในปี พ.ศ. 2477 (ค.ศ. 1934) โดยใช้แหล่งรูปถ่ายที่อ้างอิงทางประวัติศาสตร์ควบคู่กับการออกแบบด้วยปัญญาประดิษฐ์ (AI) เพื่อให้ภาพแฟชั่นออกมาอย่างสมจริงและตรงยุคมากที่สุด
แฟชั่นสตรีในยุค 1930s เป็นช่วงเวลาที่เปลี่ยนผ่านจากซิลูเอตทรงเลขาคณิตอันแข็งทื่อของยุค 1920s ไปสู่ความอ่อนช้อย ละมุนละไม และเน้นสรีระมากขึ้น เดรสยาวระดับกลางน่อง แขนระบาย หรือแขนผ้าโปร่งพลิ้ว คอเสื้อประดับลูกไม้หรือลูกปัดอย่างประณีต หมวกปีกกว้าง ถุงมือไข่มุก และรองเท้าหัวแหลม คือองค์ประกอบสำคัญที่สตรีชนชั้นกลางในสยามนิยมใช้เพื่อสะท้อนความเรียบร้อยตามค่านิยมตะวันตก
สำหรับแฟชั่นบุรุษ คอลเลกชันนี้เลือกนำเสนอ “ชุดสูทสามชิ้นแบบปกไขว้” หรือ three-piece suit พร้อมปกเสื้อยอดแหลม (peak lapel) ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของแฟชั่นสุภาพบุรุษในยุคนั้น เสริมความสง่างามด้วยหมวกเฟโดรา หรือหมวกปานามา และรองเท้าหนังแบบคลาสสิกแบบโทนสีสองสี ชุดสูทสไตล์นี้ม่ได้เป็นเพียงแฟชั่นที่นิยมในยุค 1930 เท่านั้น แต่ยังกลายเป็นชุดสูททรงคลาสสิคของผู้ชายจนถึงปัจจุปัน
คอลเลกชันนี้จึงไม่ใช่เพียงการ “แต่งกายย้อนยุค” แต่คือการตีความประวัติศาสตร์ด้วยมุมมองที่ถูกต้องตามประวัติศาสตร์ โดยใช้การเทรน AI ด้วย Flux Lora เพื่อสร้างสรรค์แฟชั่นที่มีความเที่ยงตรงอย่างสวยงาม ทั้งยังเป็นการรำลึกถึงจิตวิญญาณของนวนิยาย “หนึ่งในร้อย” ตามต้นฉบับอันงดงามที่ ดอกไม้สด ได้รังสรรค์ไว้เมื่อเกือบหนึ่งศตวรรษก่อน
Edward Molyneux และชุดราตรีสีขาว ในสมัยรัชกาลที่ ๗
Edward Molyneux และชุดราตรีสีขาว ในสมัยรัชกาลที่ ๗
เอ็ดเวิร์ด โมลีนิวซ์ (Edward Molyneux) เป็นนักออกแบบแฟชั่นชาวอังกฤษผู้มีชื่อเสียงในช่วงทศวรรษ 1930 ซึ่งมักได้รับการยกย่องว่าเป็นบุคคลสำคัญใน “ยุคทองของแฟชั่น (Golden Age of Fashion)” เขาเกิดในกรุงลอนดอนเมื่อปี ค.ศ. 1891 และเริ่มต้นอาชีพในอังกฤษ ก่อนจะย้ายไปเปิดห้องเสื้อชั้นสูง (haute couture house) ในกรุงปารีสเมื่อปี ค.ศ. 1919 โมลีนิวซ์ได้รับคำชื่นชมจากการออกแบบชุดราตรีที่สง่างาม โดยมีจุดเด่นอยู่ที่การตัดเย็บอย่างประณีตและการเลือกใช้ผ้าหรูหรา เช่น ผ้าไหมและผ้าซาติน โดยเฉพาะชุดราตรีสีขาวที่สร้างชื่อเสียงของเขา ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของความเรียบง่ายและความสง่างาม ตรงตามรสนิยมของสตรีชนชั้นสูงในยุคนั้น ลูกค้าคนสำคัญของเขา ได้แก่ สมเด็จพระราชินีแมรี วัลลิส ซิมป์สัน และนักแสดงชื่อดังอย่างเกรต้า การ์โบ ซึ่งการสนับสนุนจากบุคคลเหล่านี้ยิ่งช่วยเสริมสร้างชื่อเสียงของเขาในวงการแฟชั่น
เส้นทางอาชีพของโมลีนิวซ์รุ่งเรืองขึ้นในช่วงรัชสมัยของ สมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 5 แห่งสหราชอาณาจักร และ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 7) แห่งสยาม ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่โลกกำลังเผชิญการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองและวัฒนธรรมอย่างลึกซึ้ง ทั้งในยุโรปและเอเชีย ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นชาวอังกฤษโดยกำเนิด แต่อาชีพของโมลีนิวซ์สร้างชื่อเสียงให้กับเขาโดยงานออกแบบในกรุงปารีสเป็นหลัก ผลงานของเขาสะท้อนให้เห็นถึงสไตล์ของแฟชั่นฝรั่งเศส และมีส่วนสำคัญในการพัฒนาแฟชั่นสมัยใหม่ แม้เขาจะไม่ได้มีบทบาทโดยตรงในการกำหนดแนวทางแฟชั่นของอังกฤษ ด้วยเหตุนี้ โมลีนิวซ์จึงมักถูกมองว่าเป็นนักออกแบบชาวอังกฤษผู้ประสบความสำเร็จในโลกของแฟชั่นฝรั่งเศส โดยทิ้งมรดกแห่งความสง่างามแบบเรียบง่ายและหรูหราเอาไว้ ซึ่งกลายเป็นสัญลักษณ์ของแฟชั่นยุคทศวรรษ 1930 อย่างแท้จริง
Tea Gown ในสยาม: แฟชั่นสตรีไทยยุค 1930 กับการรับแบบตะวันตกผ่านกระโปรงยาวระดับครึ่งน่อง
Tea Gown ในสยาม: แฟชั่นชุดดื่มนำ้ชาของสตรียุค 1930 ชุดเดรสกระโปรงยาวระดับครึ่งน่อง
ในช่วงทศวรรษที่ 1930 (พ.ศ. 2473–2482) ซึ่งตรงกับปลายรัชสมัยของ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 7)สยามกำลังเปลี่ยนผ่านทั้งด้านการเมือง เศรษฐกิจ และวัฒนธรรม การเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญนี้ส่งผลให้รูปแบบการแต่งกายของสตรีโดยเฉพาะในเขตเมืองหลวง เช่น กรุงเทพฯ เปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจน จาก ชุดไทยโบราณ ไปสู่ เครื่องแต่งกายแบบตะวันตกเต็มรูปแบบ
หนึ่งในสไตล์ที่ได้รับความนิยมคือ “Tea Gown” หรือ “ชุดน้ำชา” ซึ่งมีจุดเริ่มต้นจากยุโรปในศตวรรษที่ 19 โดยเป็นชุดที่สตรีสวมใส่ภายในบ้านในช่วงบ่าย แต่เมื่อเข้าสู่ยุคทศวรรษที่ 1930 สไตล์นี้ได้วิวัฒนาการให้เหมาะกับกิจกรรมทางสังคมกลางแจ้งมากขึ้น ชุดน้ำชาถูกดัดแปลงให้ มีความหรูหราแต่ยังสวมใส่สบาย ใช้ผ้าที่บางเบา เช่น ผ้าชีฟอง ผ้าไหม หรือผ้าเรยอง พิมพ์ลายดอกไม้ละเอียดอ่อน กลายเป็นสัญลักษณ์ของความเป็นสตรีผู้ดี มีรสนิยม และเปิดรับวัฒนธรรมตะวันตก
จุดเด่นของชุด Tea Gown ในสยาม
ทรงกระโปรงยาวระดับครึ่งน่อง (midi length) ให้ความสง่างามอย่างสากล ขณะเดียวกันก็สอดคล้องกับค่านิยมไทยในเรื่องความสุภาพ
แขนสั้นระบาย (flutter sleeves) เสริมความอ่อนหวานแบบผู้หญิง
โบว์ผูกคอ (neck tie bow) กลายเป็นดีเทลที่นิยมในหมู่สตรีมีระดับ
หมวกปีกกว้างประดับดอกไม้ ช่วยป้องกันแดดและสร้างภาพลักษณ์อันหรูหรา
ถุงมือผ้าสีงาช้าง ตอกย้ำมารยาทและความประณีตตามแบบฉบับผู้ดีอังกฤษ
การปรับตัวของสตรีไทย
หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองใน พ.ศ. 2475 รัฐบาลมีนโยบายสนับสนุนการแต่งกายแบบตะวันตกเพื่อสะท้อนความทันสมัย สตรีไทยเริ่ม ตัดผมสั้นแบบ “ทรงบ๊อบดัดลอนคลื่น” หรือเซ็ตลอนแบบดาราหนังฮอลลีวูด และเลือกสวมชุดน้ำชาในงานเลี้ยงน้ำชา หรือกิจกรรมพบปะสังสรรค์ในหมู่ชนชั้นสูง การสวมใส่ tea gown กลายเป็นเครื่องแสดงสถานะของการศึกษา ความมีรสนิยม และการเปิดรับวัฒนธรรมโลกตะวันตก
#aifashionlab #AI #aiartist #aiart #aifashion #aifashiondesign #aifashionstyling #aifashiondesigner #fashion #fashionhistory #historyoffashion #fashionstyling #fashionphotography #digitalfashion #digitalfashiondesign #digitalcostumedesign #digitaldesign #digitalaiart #ThaiFashionHistory #ThaiFashionAI #flux
ปกคอเสื้อถอดได้กับบทบาทแฟชั่นในทศวรรษ 1930
ปกคอเสื้อถอดได้กับบทบาทแฟชั่นในทศวรรษ 1930
ภาพคอลเลกชัน AI ชุดนี้จัดทำขึ้นเพื่อแสดงความหลากหลายของปกคอเสื้อในแฟชั่นยุคทศวรรษ 1930 ซึ่งตรงกับช่วงรัชกาลที่ 7 ของไทย โดยในยุคนั้น สตรีชั้นสูงและชนชั้นกลางในเมืองใหญ่ต่างสวมใส่ชุดตะวันตกที่ได้รับอิทธิพลจากยุโรปเป็นหลัก อันเป็นผลสืบเนื่องจากการฟื้นตัวของแฟชั่นภายหลังเศรษฐกิจตกต่ำทั่วโลกช่วงปลายทศวรรษ 1920 ปกคอเสื้อจึงกลายเป็นองค์ประกอบที่สำคัญที่ช่วยให้ผู้หญิงสามารถปรับเปลี่ยนรูปแบบของเสื้อผ้าให้เหมาะสมกับโอกาสต่าง ๆ ได้โดยไม่ต้องเปลี่ยนชุดทั้งหมด ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดแห่งความประหยัด ความประณีต และความสง่างามที่ใช้งานได้จริงในยุคเศรษฐกิจฝืดเคืองของโลกตะวันตกและโลกตะวันออกไปพร้อมกัน
ในทศวรรษ 1930 แฟชั่นผู้หญิงได้กลับมาใช้โครงร่างเงาที่ดูสง่างามและเข้ากับสัดส่วนและรูปร่างของผู้หญิงแทนที่สไคล์แบบทรงเลขาคณิตของยุค 1920 โดยปกคอเสื้อกลายเป็นองค์ประกอบสำคัญในการออกแบบชุดของผู้หญิง ซึ่งแตกต่างจากสไตล์คอต่ำของทศวรรษก่อนหน้านี้ ปกคอเสื้อในยุค 1930 มีรูปทรงที่มีโครงสร้างมากขึ้น ช่วยเพิ่มมิติให้กับใบหน้าและเพิ่มความหรูหราให้กับชุดผู้หญิง ปกคอเสื้อเหล่านี้ที่มักมีขนาดกว้าง ปลายแหลม หรือทรงกลม และได้กลายเป็นซิลูเอตสำคัญที่สะท้อนสไตล์ของยุคนั้น ในบรรดาดีไซน์เหล่านี้ ปกคอเสื้อถอดได้เป็นทั้งทางเลือกที่ใช้งานได้จริงและมีสไตล์ สะท้อนถึงความคิดสร้างสรรค์และความประหยัดของยุคสมัย
ปกคอเสื้อถอดได้: แฟชั่นที่ยั่งยืนและปรับเปลี่ยนได้
ปกคอเสื้อถอดได้ทำหน้าที่เป็นเครื่องประดับที่ปรับเปลี่ยนได้ ช่วยให้ผู้หญิงสามารถเปลี่ยนลุคได้อย่างคุ้มค่าและง่ายดาย ในยุคที่เศรษฐกิจย่ำแย่ อันเป็นผลสืบเนื่องจากเศรษฐกิจตกต่ำทั่วโลกในช่วงปลายทศวรรษ 1920 ปกคอเสื้อเหล่านี้จึงเป็นการแก้ปัญหาที่ชาญฉลาดในด้านแฟชั่น ทำให้ผู้หญิงสามารถสร้างลุคใหม่ ๆ โดยไม่ต้องลงทุนซื้อเสื้อผ้าใหม่ทั้งหมด ปกคอเสื้อเหล่านี้ทำจากวัสดุที่หลากหลาย เช่น ลูกไม้ ผ้าฝ้าย ผ้าลินิน หรือแม้แต่กำมะหยี่ ซึ่งแต่ละชนิดจะสร้างลุคและความรู้สึกที่แตกต่างกันออกไป ทำให้ผู้หญิงสามารถเปลี่ยนลุคได้ตามโอกาสต่าง ๆ ตั้งแต่ชุดลำลองที่ดูสุภาพไปจนถึงลุคเย็นหรูหรา โดยเพียงแค่เปลี่ยนปกคอเสื้อถอดได้
รูปแบบของดีไซน์: ลูกไม้ การปัก และความเรียบหรู
ปกคอเสื้อถอดได้มีหลากหลายรูปแบบ โดยปกที่ตกแต่งด้วยลูกไม้จะนิยมใช้ในโอกาสพิเศษ ส่วนปกที่ทำจากผ้าลินินหรือผ้าฝ้ายที่เรียบง่ายเหมาะสำหรับการสวมใส่ในชีวิตประจำวัน ปกคอเสื้อลูกไม้ช่วยเพิ่มความประณีต ทำให้ชุดที่เรียบง่ายดูละเอียดอ่อนด้วยลวดลายที่ซับซ้อน ในขณะที่ปกปักลายช่วยเพิ่มสีสันและความเป็นเอกลักษณ์ให้กับเสื้อและชุดกระโปรง ปกคอเสื้อแบบกำมะหยี่และผ้าซาตินก็เป็นที่นิยมสำหรับการใส่ออกงานยามเย็น ซึ่งช่วยเพิ่มความหรูหราให้กับลุค ปกคอเสื้อเหล่านี้ทำให้ผู้หญิงสามารถแสดงความเป็นตัวเองและปรับเปลี่ยนลุคตามสังคมที่แตกต่างกันไป โดยคำนึงถึงงบประมาณที่เป็นมิตรอีกด้วย
ประโยชน์ในการใช้งานและความอเนกประสงค์
ประโยชน์ของปกคอเสื้อถอดได้ไม่ใช่แค่ในแง่ของแฟชั่นเท่านั้น แต่ยังช่วยให้เสื้อผ้าดูสดใหม่อยู่เสมอ ปกคอเสื้อเหล่านี้สามารถถอดออกเพื่อซักได้ ซึ่งเป็นข้อดีในยุคที่การซักล้างต้องใช้แรงงานมาก สิ่งนี้ยังช่วยยืดอายุการใช้งานของเสื้อผ้าชิ้นหลัก ทำให้ผู้หญิงรักษาความสะอาดและความเรียบร้อยที่มีคุณค่าในยุคนั้นได้ นอกจากนี้ ปกคอเสื้อถอดได้ยังช่วยให้ชุดหนึ่ง ๆ มีลุคที่หลากหลาย เพียงแค่เปลี่ยนปกคอเสื้อใหม่
ความคลาสสิกและมรดกที่ทิ้งไว้
ความนิยมของปกคอเสื้อถอดได้ในทศวรรษ 1930 ได้สร้างผลกระทบที่ยาวนาน สะท้อนถึงความมุ่งมั่นและความคิดสร้างสรรค์ของผู้หญิงในช่วงเวลาที่ท้าทาย ปกคอเสื้อถอดได้เป็นรูปแบบหนึ่งของความหรูหราที่เข้าถึงได้ และเน้นถึงรายละเอียดที่ประณีตแต่สง่างามของแฟชั่นในยุคนั้น แม้ว่าความนิยมของปกคอเสื้อถอดได้จะลดลงเมื่อแฟชั่นเริ่มเปลี่ยนไปสู่ดีไซน์ที่เรียบง่ายขึ้นในทศวรรษ 1940 แต่ปกคอเสื้อในยุค 1930 ยังคงเป็นสัญลักษณ์ของความสง่างามแบบคลาสสิกและความชาญฉลาด
ย้อนรอยแฟชั่นและทรงผมแม่ญิงเจียงใหม่: ยุคบ๊อบดัดลอนในเชียงใหม่ยุค 1920s
ย้อนรอยแฟชั่นและทรงผมแม่ญิงเจียงใหม่: ยุคบ๊อบดัดลอนในเชียงใหม่ยุค 1920s
ในช่วงต้นรัชกาลที่ ๗ (พ.ศ. ๒๔๖๘–๒๔๗๘) หรือยุคที่สากลนิยมเริ่มแพร่กระจายจากกรุงเทพฯ สู่หัวเมืองใหญ่ทางเหนืออย่างเชียงใหม่ แม่ญิงเจียงใหม่กลุ่มใหม่เริ่มเปิดรับกระแสแฟชั่นจากโลกตะวันตก โดยเฉพาะอิทธิพลของสไตล์ "แฟลปเปอร์" (Flapper) และทรงผมบ๊อบสั้นดัดลอน ซึ่งเป็นเครื่องหมายของความเปลี่ยนแปลงและความกล้าแสดงออกในยุคหลังสงครามโลกครั้งที่ 1
แม้เชียงใหม่จะยังคงเอกลักษณ์ด้านเครื่องแต่งกายพื้นถิ่น เช่น ผ้าซิ่นตีนจกยกดิ้นทอง ที่ใช้ในโอกาสพิเศษ แต่แม่ญิงบางกลุ่มเริ่มทดลองประยุกต์แฟชั่นตะวันตกกับวัฒนธรรมท้องถิ่นอย่างสร้างสรรค์ ด้วยการสวม เสื้อแขนกุดหรือเสื้อบ่าห้อย ร่วมกับซิ่นที่ปรับความยาวให้สั้นขึ้นเล็กน้อยจากแบบกรอมเท้า เพื่อให้สอดคล้องกับซิลูเอตแบบสมัยนิยมที่เน้นความคล่องแคล่ว
หนึ่งในการเปลี่ยนแปลงที่เห็นได้ชัดคือ ทรงผมบ๊อบสั้น ซึ่งบางรายนิยมดัดเป็นลอนแบบ "ลอนนิ้วมือ" (Finger Wave) ที่ให้ลุคอ่อนหวาน เป็นระเบียบ หรือ "ลอนมาร์เซล" (Marcel Wave) ซึ่งใช้ความร้อนจากอุปกรณ์หนีบเพื่อสร้างลอนที่เด่นชัดและคงทน ลักษณะลอนเหล่านี้สะท้อนอิทธิพลจากสื่อสิ่งพิมพ์และภาพยนตร์ฮอลลีวูด ที่เริ่มเข้ามาผ่านโรงหนังในหัวเมืองใหญ่
แม้แฟชั่นบ๊อบดัดลอนในเชียงใหม่อาจยังจำกัดอยู่ในกลุ่มแม่ญิงชนชั้นกลางที่มีโอกาสศึกษาในโรงเรียนแบบตะวันตก หรือมีความเกี่ยวโยงกับข้าราชการและวงการศาสนา แต่ก็ถือเป็นก้าวสำคัญที่แสดงให้เห็นถึงการเปิดรับวัฒนธรรมสมัยใหม่ และการสร้างอัตลักษณ์ของแม่ญิงรุ่นใหม่ในเมืองเหนือ
คอลเลกชันภาพที่สร้างขึ้นด้วย AI Flux LoRA นี้ คือการจินตนาการว่าแม่ญิงเจียงใหม่ในยุค 1920s จะมีหน้าตา ทรงผม และเครื่องแต่งกายอย่างไร หากเลือกประยุกต์แฟชั่นโลกสมัยใหม่ให้กลมกลืนกับผ้าทอพื้นเมือง เสื้อแบบล้านนา และเสน่ห์ของหญิงชาวเหนือในยุคที่โลกเริ่มรับวัฒนธรรมตะวันตกเข้ามาอย่างรวดเร็ว ภาพเหล่านี้จึงไม่ใช่เพียงการทดลองด้านแฟชั่น แต่เป็นการรื้อฟื้นบทสนทนาว่าด้วย "ความร่วมสมัย" และ "ความงามพื้นถิ่น" ในบริบทของเชียงใหม่ช่วงเปลี่ยนผ่าน