History of Fashion
ย้อนวันวานแฟชั่นยุค 1980 ในกรุงเทพ (พ.ศ. ๒๕๒๓-๒๕๓๒)
ย้อนวันวานแฟชั่นยุค 1980 ในกรุงเทพ (พ.ศ. ๒๕๒๓-๒๕๓๒)
ยุค 1980s ในกรุงเทพฯ เป็นช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนแปลงอย่างมีชีวิตชีวา เศรษฐกิจที่เติบโตอย่างรวดเร็ว พร้อมกับวัฒนธรรมป๊อปที่เฟื่องฟู และสื่อจากตะวันตกที่เริ่มแพร่หลายผ่านโทรทัศน์ มิวสิกวิดีโอ นิตยสาร และภาพยนตร์ ทำให้แฟชั่นในกรุงเทพได้รับอิทธิพลใหม่ ๆ อย่างชัดเจน วัยรุ่นในกรุงเทพฯ โดยเฉพาะกลุ่มคนเมืองรุ่นใหม่ เริ่มเปิดรับกระแสสมัยนิยมจากต่างประเทศ และปรับสไตล์ให้เข้ากับความเป็นไทย เกิดเป็นแฟชั่นผสมผสานที่โดดเด่นไม่เหมือนใคร
อิทธิพลตะวันตกในทรงผม เมคอัพ และเสื้อผ้า
ไอคอนแฟชั่นอย่าง Madonna, Brooke Shields และเจ้าหญิงไดอาน่า กลายเป็นแรงบันดาลใจสำคัญของยุคนี้ ภาพลักษณ์ของไอดอลเหล่านี้ถูกถ่ายทอดผ่านสื่อของไทยอย่างรวดเร็ว และแฟชั่นได้ถูกนำมาปรับใช้โดยวัยรุ่นในกรุงเทพฯ ด้วยความคิดสร้างสรรค์
ทรงผม: ยิ่งพอง ยิ่งโดดเด่น
ยุค 1980s เป็นยุคของความฟูฟ่องและความอลังการ สาว ๆ ในกรุงเทพฯ เริ่มจัดแต่งทรงผมให้มีเลเยอร์หนา ดัดลอนใหญ่ ทำผมพอง และไว้หน้าม้าปัดข้าง ใช้สเปรย์และมูสกันอย่างแพร่หลาย เครื่องประดับผมอย่างที่คาดผม ผ้าผูกผม และหนังยางสีสด ๆ ก็ได้รับความนิยมไม่แพ้กัน โดยเฉพาะในกลุ่มนักเรียนหญิงที่อยากแต่งตัวให้เหมือนไอดอลในโทรทัศน์
เมคอัพ: สีสันและการเน้นโครงหน้า
เมคอัพในยุค 80 พลิกโฉมจากความละมุนละไมกลายเป็นความกล้าหาญ สาวๆในกรุงเทพฯ รับอิทธิพลจากความงามแบบตะวันตกอย่างเต็มที่ด้วยการใช้อายแชโดว์สีสด เช่น น้ำเงิน เขียว ม่วง เขียนขอบตาเข้ม ปัดแก้มสีจัด และทาปากด้วยลิปกลอสหรือสีแดงสด นิตยสารไทยอย่าง แพรว และ เปรียว ก็เริ่มนำเสนอลุคแต่งหน้าจัดเต็มตามแบบดาราต่างชาติ
เสื้อผ้า: ป๊อป ผสม แกลม (Pop & Glam)
แฟชั่นเครื่องแต่งกายในกรุงเทพฯ ยุค 80 สะท้อนถึงการเปิดรับเสื้อผ้าสำเร็จรูปแบบตะวันตกอย่างเห็นได้ชัด สาว ๆ นิยมใส่เสื้อเบลเซอร์บ่าตั้ง และสวมเสื้อยืดโอเวอร์ไซส์ กางเกงยีนส์รัดรูป จัมป์สูท และกระโปรงสั้นสีสดใส แฟชั่นดิสโก้จากปลายยุค 70 ยังตกค้างอยู่บ้าง โดยเฉพาะชุดเลื่อม ผ้าสะท้อนแสง และชุดสแปนเด็กซ์สำหรับงานปาร์ตี้ กระแสแฟชั่นการออกกำลังกายและแอโรบิกที่ได้รับอิทธิพลจากวิดีโอของ Jane Fonda ก็ส่งผลต่อแฟชั่นในชีวิตประจำวัน เสื้อกล้าม กางเกงรัดรูป ที่รัดขา และที่คาดผม กลายเป็นไอเท็มแฟชั่นที่พบเห็นได้บ่อยตามท้องถนน
ดาราวัยรุ่นเด่นดังในยุค 80: แฟชั่นไอคอนของไทย
ในประเทศไทย มีนักแสดงหญิงวัยรุ่นหลายคนที่โด่งดังและเป็นแรงบันดาลใจด้านแฟชั่นให้กับวัยรุ่นทั่วประเทศ พวกเธอไม่เพียงแต่เป็นที่รู้จักในจอเท่านั้น แต่ยังเป็นผู้กำหนดแนวโน้มแฟชั่นนอกจออีกด้วย
นิด – อรพรรณ พานทอง: ด้วยภาพลักษณ์ที่น่ารักและมั่นใจ นิดกลายเป็นตัวแทนของหญิงสาวยุคใหม่ สไตล์ของเธอมักประกอบด้วยเสื้อเชิ้ตเรียบร้อย กระโปรงจีบ และทรงผมหวีเรียบเนี้ยบผสมกลิ่นอายความเป็นตะวันตก
กบ – อนุสรา จันทรังษี: ด้วยรอยยิ้มสดใสและความสวยแบบธรรมชาติ กบเป็นตัวแทนของแฟชั่นแนวสดใสและขี้เล่น เสื้อแขนพอง ลายผ้าสีสดใส และเสื้อผ้าแนวกีฬาแบบลำลองเป็นที่นิยมอย่างมากในกลุ่มแฟนคลับของเธอ
ส้มโอ – เพ็ญพิสุทธิ์ คงสมุทร: ด้วยบุคลิกมั่นใจและเซ็กซี่ ส้มโอมีสไตล์ที่โดดเด่นกว่าใคร เธอสวมชุดเข้ารูป แจ็คเก็ตหนัง และแต่งหน้าจัด ทำให้ภาพลักษณ์ของเธอสะท้อนความเท่แบบร็อกแอนด์โรลของฝั่งตะวันตก
เปิ้ล – จารุณี สุขสวัสดิ์: เปิ้ลถือเป็นนักแสดงขวัญใจมหาชนที่สามารถข้ามผ่านทั้งภาพยนตร์ย้อนยุคและบทบาทสาวยุคใหม่ได้อย่างลงตัว เธอสวมใส่ทั้งชุดไทยและชุดตะวันตกในชีวิตจริง ทรงผมลอนนุ่มและแสกข้างกลายเป็นทรงยอดนิยมในหมู่สาว ๆ
บันทึกภาพยุค 80 ด้วย AI: การจำลองอดีตผ่านโมเดล LoRA
ภาพในคอลเลกชัน AI นี้ถูกสร้างขึ้นจากการฝึกฝนโมเดล LoRA (Low-Rank Adaptation) ด้วยชุดภาพจากนิตยสารไทยยุคกลางทศวรรษ 1980 (พ.ศ. 2525) ทั้งจากหน้าปก บทสัมภาษณ์ รายการโทรทัศน์ และภาพยนตร์ที่มีดาราวัยรุ่นชื่อดังของยุคนั้น และเพื่อเสริมรายละเอียดสไตล์แฟชั่นแบบตะวันตก โมเดลที่สองจึงถูกฝึกแยกต่างหากโดยใช้ชุดภาพจากแฟชั่นยุโรปยุค 80 ที่ได้รับความนิยมในนิตยสารวัยรุ่นต่างประเทศ โมเดลทั้งสองถูกนำมาผสมผสานกันเพื่อสร้างภาพที่แสดงถึงการปะทะกันของวัฒนธรรมตะวันออกและตะวันตกในโลกแฟชั่นของกรุงเทพฯ ยุคนั้นได้อย่างสมจริง
บทสรุป: กรุงเทพฯ ยุค 80 – จุดตัดของวัฒนธรรม
แฟชั่นในกรุงเทพฯ ช่วงยุค 1980s เป็นภาพสะท้อนของยุคสมัยที่ประเทศไทยเริ่มเปิดรับวัฒนธรรมโลกอย่างเต็มตัว สไตล์การแต่งกายของวัยรุ่นได้รับอิทธิพลจากไอดอลตะวันตก ขณะเดียวกันก็ยังคงรักษาเอกลักษณ์ของความเป็นไทยไว้ในรูปแบบของตนเอง และด้วยเทคโนโลยี AI ในปัจจุบัน เราสามารถย้อนเวลากลับไปสัมผัสกลิ่นอายของยุคสมัยนั้นได้อีกครั้ง ผ่านภาพที่ถ่ายทอดทั้งแฟชั่น อารมณ์ และจิตวิญญาณของทศวรรษอันเปี่ยมชีวิตชีวา
#aifashionlab #AI #aiartist #aiart #aifashion #aifashiondesign #aifashionstyling #aifashiondesigner #fashion #fashionhistory #historyoffashion #fashionstyling #fashionphotography #digitalfashion #digitalfashiondesign #digitalcostumedesign #digitaldesign #digitalaiart #ThaiFashionHistory #ThaiFashionAI #flux #ComfyUIFluxLoRA
จินตนาการแฟชั่นกรุงเทพฯ ยุคปลายรัชกาลที่ ๖ (1920s) (ตอนที่ ๔)
จินตนาการแฟชั่นกรุงเทพฯ ยุคปลายรัชกาลที่ ๖ (1920s) (ตอนที่ ๔)
คอลเลกชันนี้คือผลงานแฟชั่นที่รังสรรค์ผ่านกระบวนการฝึกโมเดล AI แบบ LoRA (Low-Rank Adaptation) ซึ่งได้รับการฝึกจากแหล่งข้อมูลเฉพาะทางด้วย LoRA 3 โมเดล เพื่อให้เกิดการผสมผสานระหว่างประวัติศาสตร์แฟชั่นตะวันตกยุค 1920 กับเอกลักษณ์ของเครื่องแต่งกายไทยในบริบทช่วงปลายรัชกาลที่ ๖
แหล่งข้อมูลการฝึก LoRA ทั้ง 3 โมเดล:
LoRA 1 – แฟชั่นยุค 1920 จากภาพถ่ายเก่าแบบลงสี
ใช้ภาพถ่ายขาวดำที่ผ่านการลงสีอย่างละเอียด เพื่อถ่ายทอดรูปลักษณ์แฟชั่นของหญิงสาวยุค 1920 อย่างแท้จริง ทั้งทรงผม เครื่องประดับ การแต่งกาย และการจัดองค์ประกอบLoRA 2 – แฟชั่นตะวันตกสไตล์แฟลปเปอร์
เน้นดีไซน์เดรสแฟลปเปอร์แบบตะวันตก เช่น เอวต่ำ เดรสยาวระดับเข่า งานปักลูกปัดละเอียด ที่คาดผมประดับลูกปัด และเครื่องประดับตามแบบยุคแจ๊ซLoRA 3 – ผ้าซิ่นสไตล์เชียงใหม่ผสมแฟลปเปอร์
ผสมผสานโครงสร้างของแฟชั่นยุค 1920 เข้ากับลวดลายสิ่งทอแบบล้านนาและการนุ่งผ้าซิ่นแบบภาคเหนือไทย ก่อให้เกิดซิลลูเอ็ตใหม่ที่มีรากเหง้าของวัฒนธรรมท้องถิ่นแต่ร่วมสมัยอย่างงดงาม
บริบทแนวคิดหลักของคอลเลกชัน
จินตนาการถึงกรุงเทพฯ ในช่วงปลายรัชกาลพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ในโลกที่สังคมไทยเปิดรับแฟชั่นตะวันตก และนำมาปรับใช้ในบริบทของเครื่องแต่งกายไทยอย่างสร้างสรรค์ คอลเลกชันนี้จึงนำเสนอความงามแบบอาร์ตเดโค (Art Deco) ผ่านโครงชุดที่ผสานซิ่นแบบไทยเข้ากับโครงร่างแฟลปเปอร์ ประดับด้วย การปักดิ้นเงินดิ้นทองแบบชั้นสูง ตามแบบราชสำนัก พร้อมลวดลายเรขาคณิตสไตล์ตะวันตก
ขบวนการอาร์ตเดโคและอิทธิพลในการออกแบบ
อาร์ตเดโคเป็นหนึ่งในขบวนการออกแบบที่ทรงอิทธิพลที่สุดในต้นศตวรรษที่ 20 มีลักษณะเด่นคือความสมมาตร เส้นสายตรง ลวดลายเรขาคณิต และวัสดุหรูหรา กำเนิดขึ้นในฝรั่งเศสช่วงทศวรรษ 1910 และถึงจุดสูงสุดในยุค 1920–1930 โดยถือเป็นการตอบสนองต่อศิลปะอาร์ตนูโวที่เน้นเส้นโค้ง ด้วยรูปแบบที่เน้นความเฉียบคมและความล้ำยุค
แฟชั่นยุค 1920: การปฏิวัติแห่งความสง่างาม
ทศวรรษ 1920 คือยุคสมัยแห่งการปลดแอกทางแฟชั่น ผู้หญิงเริ่มละทิ้งเครื่องแต่งกายที่รัดแน่นจากยุคก่อน และหันมาใช้โครงเสื้อผ้าที่ปลอดโปร่งและอิสระมากขึ้น “แฟลปเปอร์” กลายเป็นสัญลักษณ์ของผู้หญิงยุคใหม่ ด้วยชุดเอวต่ำ เดรสระดับเข่า และการตกแต่งอย่างวิจิตร
จุดเด่นของคอลเลกชัน (Collection Highlights):
โครงร่างชุดทรงตรงแบบแฟลปเปอร์ผสานกับ ผ้าซิ่นไทย
การปักดิ้นทองและดิ้นเงิน ด้วยลวดลายราชสำนัก แบบชั้นสูง
งานปักลูกปัดและตกแต่งด้วยตุ้งติ้งกับผ้าซิ่นตีนจก
ใช้เฉดสีหรูหราตามธรรมชาติของผ้าไหมไทย เช่น สีน้ำเงินไพลิน สีเขียวมรกต สีแดงทับทิม และสีทอง
เครื่องประดับเสริม เช่น สร้อยไข่มุก ที่คาดผม ถุงมือซาตินแบบถุงมือโอเปร่า และรองเท้าส้นสูง ที่ผสมผสานกลิ่นอายตะวันตกกับความงามแบบไทยตามยุคสมัย
คอลเลกชันนี้จึงไม่ใช่เพียงแค่งานออกแบบแฟชั่นจากภาพ AI แต่เป็นการใช้เทคโนโลยี AI ในฐานะ “กระจกทางวัฒนธรรม” เพื่อส่องและสะท้อนการจินตนาการถึงช่วงเวลาในประวัติศาสตร์แฟชั่นไทย
#aifashionlab #AI #aiartist #aiart #aifashion #aifashiondesign #aifashionstyling #aifashiondesigner #fashion #fashionhistory #historyoffashion #fashionstyling #fashionphotography #digitalfashion #digitalfashiondesign #digitalcostumedesign #digitaldesign #digitalaiart #ThaiFashionHistory #ThaiFashionAI #flux #ComfyUIFluxLoRA
ปริศนาและสปอร์ตคลับ: วิถีสังคมชั้นสูงในกรุงเทพฯ ยุค 1950
ปริศนาและสปอร์ตคลับ: วิถีสังคมชั้นสูงในกรุงเทพฯ ยุค 1950
คอลเลกชันภาพถ่ายที่ปรับแต่งด้วย AI นี้ ถ่ายทอดภาพวิถีชีวิตที่หรูหราของชนชั้นกลางและชนชั้นสูงในกรุงเทพฯ ช่วงทศวรรษ 1950 โดยได้รับแรงบันดาลใจโดยตรงจากนวนิยายชื่อดังเรื่อง "ปริศนา" ของ ว. ณ ประมวญมารค ภาพเหล่านี้นำเสนอภาพของปริศนาและท่านชายพจน์ปรีชา ตัวละครสำคัญในเรื่อง ขณะกำลังใช้เวลายามบ่ายที่สโมสรเทนนิส ซึ่งถือเป็นสถานที่สำคัญสำหรับกิจกรรมทางสังคมและการพักผ่อนที่มีระดับในยุคนั้น
ในกรุงเทพฯ ช่วงกลางศตวรรษที่ 20 เทนนิสไม่ใช่เพียงแค่กีฬา แต่ยังเป็นกิจกรรมทางสังคมสำหรับผู้มีฐานะที่สามารถเข้าถึงสปอร์ตคลับได้ เครื่องแต่งกายกีฬาอันหรูหราในคอลเลกชันนี้ ไม่ว่าจะเป็นชุดกระโปรงและชุดเดรสสีขาวสะอาด กางเกงขาสั้นที่ตัดเย็บอย่างประณีต และเสื้อโปโลคลาสสิก ต่างสะท้อนถึงแฟชั่นที่เรียบง่ายแต่แฝงไปด้วยรสนิยมของยุคสมัย ซึ่งสอดคล้องกับแนวโน้มแฟชั่นระดับสากล และช่วยตอกย้ำถึงสถานะทางสังคมและรสนิยมอันวิจิตรบรรจงของผู้สวมใส่
นอกจากนี้ คอลเลกชันยังแสดงให้เห็นถึงกระเป๋าเดินทาง Pan Am อันเป็นสัญลักษณ์ที่มีชื่อเสียงอย่างชัดเจน ในทศวรรษ 1950 การเดินทางด้วยเครื่องบินโดยสารเริ่มเป็นที่นิยมและทันสมัย แทนที่การเดินทางทางทะเล สายการบิน Pan American World Airways หรือที่รู้จักกันในชื่อ Pan Am กลายเป็นสัญลักษณ์ของความหรูหราทันสมัย เสน่ห์แห่งความเป็นสากล และการพัฒนาเทคโนโลยีที่ก้าวหน้า ดังนั้น การถือกระเป๋า Pan Am ในสโมสรเทนนิสที่กรุงเทพฯ จึงเป็นเหมือนการประกาศอย่างแยบยลถึงความทันสมัยและการเชื่อมโยงกับวิถีชีวิตสากล อันแสดงถึงสถานะและรสนิยมอันโดดเด่น
ด้วยการผสมผสานตัวละครในนิยายเข้ากับองค์ประกอบที่สะท้อนวิถีชีวิตจริงในอดีต คอลเลกชันภาพ AI นี้จึงเป็นการเฉลิมฉลองอย่างสร้างสรรค์ถึงความสัมพันธ์ระหว่างกิจกรรมพักผ่อนหย่อนใจ แฟชั่น อัตลักษณ์ทางชนชั้น และยุคสมัยอันน่าตื่นเต้นที่การบินพาณิชย์เริ่มได้รับความนิยมในกรุงเทพฯ หลังสงครามโลกครั้งที่สอง
แฟชั่นทศวรรษ 1950 ในโลกของ “รัตนาวดี” ความสง่างามที่เหนือกาลเวลา
แฟชั่นทศวรรษ 1950 ในโลกของ “รัตนาวดี” ความสง่างามที่เหนือกาลเวลา
แฟชั่นในทศวรรษ 1950 (พ.ศ. 2493–2502) ได้รับการถ่ายทอดอย่างสวยงามในนวนิยายเรื่อง รัตนาวดี โดย ว.ณ ประมวญมารค ซึ่งเป็นพระนามปากกาของพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวิภาวดีรังสิต แสดงถึงยุคสมัยที่มีความสง่างาม อ่อนหวาน และโรแมนติกเป็นอย่างยิ่ง โดยมีฉากหลังเป็นการเดินทางท่องเที่ยวในกรุงลอนดอน และยุโรป
ตัวละครหลักคือ หม่อมเจ้าหญิงรัตนาวดี ซึ่งสะท้อนสไตล์การแต่งกายที่โดดเด่นของยุคนั้น โดยผสมผสานความสง่างามแบบไทยเข้ากับแฟชั่นตะวันตกยุคกลางศตวรรษ รัตนาวดี เป็นนิยายเล่มสุดท้ายในไตรภาค ซึ่งก่อนหน้านี้มีเรื่อง ปริศนา และ เจ้าสาวของอานนท์ ซึ่งทั้งสามเรื่องมีฉากหลังอยู่ในช่วงเวลาเดียวกัน
เรื่องราวของ รัตนาวดี เล่าถึงการเดินทางของหม่อมเจ้าหญิงรัตนาวดี ขนิษฐาของหม่อมเจ้าพจน์ปรีชา ซึ่งเสด็จประพาสยุโรปพร้อมกับ คุณสร้อย แม่นมของพระองค์ ด้วยความหวังว่าจะได้รับการต้อนรับที่ดีจาก หม่อมเจ้าดนัยวัฒนา ข้าราชการหนุ่มประจำสถานทูตไทยในกรุงลอนดอน แต่เมื่อถึงที่หมายกลับพบเพียงจดหมายขอโทษที่เขาไม่ได้มาต้อนรับ เนื่องจากอยู่ในระหว่างพักผ่อนที่สกอตแลนด์ ความละเลยนี้ทำให้ท่านหญิงไม่พอพระทัยอย่างยิ่งและตัดสินใจแกล้งตอบโต้
เมื่อหม่อมเจ้าดนัยวัฒนากลับมาถึงลอนดอนเร็วกว่ากำหนด เขาหวังจะชดเชยความผิดและพาท่านหญิงท่องเที่ยว แต่กลับเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน เมื่อท่านหญิงเข้าใจผิดคิดว่าท่านชายเป็น นายเล็ก มหาดเล็กของท่านชายดนัยวัฒนา ทำให้ท่านชายต้องแสร้งรับบทบาทนี้ต่อไปโดยไม่ได้ตั้งใจ
ระหว่างการเดินทางท่องเที่ยวยุโรป ความรักของทั้งคู่เบ่งบานท่ามกลางบรรยากาศโรแมนติกและความเข้าใจผิดที่ชวนขบขัน เสน่ห์ของความรักที่ถูกสร้างสรรค์ขึ้นอย่างงดงามท่ามกลางบรรยากาศของยุโรป เป็นการเดินทางที่เต็มไปด้วยเสน่ห์และความโรแมนติก
แฟชั่นในยุคนี้เน้นที่รูปทรงแบบนาฬิกาทราย ด้วยเอวที่คอดกิ่ว กระโปรงบาน และเสื้อท่อนบนที่มีโครงสร้างรัดรึง ซึ่งสะท้อนสไตล์ "New Look" ที่ Christian Dior สร้างสรรคึ์ขึ้นในปี 1947 (พ.ศ. 2490) ชุดต่างๆ มักมีกระโปรงที่ฟูฟ่องจากการใช้เฟทติโค้ทเพื่อเสริมให้กระโปรงมีโวลุ่มเพื่อแสดงถึงสง่างามและความอ่อนหวาน
เครื่องประดับก็มีบทบาทสำคัญในการเสริมความสง่างาม เช่นหมวกซึ่งเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง ทั้งหมวกปีกกว้าง หมวก pillbox และเครื่องประดับผมที่ช่วยเพิ่มรายละเอียดในเครื่องแต่งกาย รวมถึงถุงมือสำหรับกลางวันและงานพิธีการ ถุงมือสั้นเป็นที่นิยมในเวลากลางวัน ขณะที่ถุงมือยาวนิยมใช้ในงานกลางคืน
คอลเลกชันแฟชั่นนี้สร้างสรรค์ขึ้นมา จากแรงบันดาลใจจาก นวนิยายเรื่อง รัตนาวดี ซึ่งผมให้ความสำคัญกับองค์ประกอบด้านแฟชั่นในทุกด้านเพื่อให้ได้ภาพและเครื่องแต่งกายที่สง่างามและสมจริง ภาพเหล่านี้สร้างสรรค์ขึ้นมาโดยการใช้โมเดล LoRA ที่ถูกฝึกจากภาพถ่ายประวัติศาสตร์จากหอจดหมายเหตุแห่งชาติ ภาพแฟชั่นจากพิพิธภัณฑ์ V&A และ The Met รวมถึงภาพแฟชั่นจากไอคอนดังชื่อเช่น Audrey Hepburn และใช้ฉากหลังเป็นกรุงลอนดอนตามท้องเรื่อง จากการใช้ดาต้าเซ็ตเหล่านี้ ทำให้สามารถนำเสนอแฟชั่นยุค 1950 อย่างมีชีวิตชีวา โดยเชื่อมโยงความสง่างามแบบดั้งเดิมกับสไตล์ที่เป็นไอคอนนิคของทศวรรษ 1950
การฟื้นฟูอียิปต์ในแฟชั่นยุค 1920: การค้นพบสุสานตุตันคามุนและอิทธิพลต่อแฟชั่น
การฟื้นฟูอียิปต์ในแฟชั่นยุค 1920: การค้นพบสุสานตุตันคามุนและอิทธิพลต่อแฟชั่น
การค้นพบสุสานตุตันคามุนโดยโฮเวิร์ด คาร์เตอร์ (Howard Carter) ในปี 1922 ได้ก่อให้เกิดความหลงใหลในอียิปต์โบราณทั่วโลก ซึ่งมีผลอย่างมากต่อแฟชั่นในยุค 1920 ความหลงใหลในอียิปต์หรือที่เรียกว่า "Egyptomania" ได้แผ่กระจายไปหลากหลายวัฒนธรรม และสร้างแรงบันดาลใจให้กับนักออกแบบในการรวบรวมเอาลวดลายอียิปต์เข้ามาเป็นหนึ่งในแรงบันดาลใจในผลงานของตนเอง
ยุค 1920 เป็นทศวรรษที่มีการเปลี่ยนแปลงจากการแต่งกายที่รัดรึงจากสมัยเอ็ดวอร์เดียน ไปสู่การยอมรับสไตล์แฟลปเปอร์ที่เป็นอิสระ ซิลลูเอทที่เรียบง่าย และเป็นทรงเลขาคณิต ซึ่งสอดคล้องกับความงามของศิลปะอียิปต์โบราณ ที่เน้นเส้นที่สะอาดและรูปทรงที่เป็นเลขาคณิต
นักออกแบบแฟชั่นชั้นนำอย่าง พอล ปัวเรต์ (Paul Poiret) และ ฌาน ล็องแวง (Jean Lanvin) ต่างได้แรงบันดาลใจจาก Egyptomania โดยเแพาะเครื่องประดับที่ประณีต งานแกะสลักที่ละเอียดอ่อน และลวดลายแบบอียิปต์โบราณที่พบพร้อมสมบัติของสุสานตุตันคามุน
ปัวเรต์ซึ่งเป็นที่รู้จักในด้านการออกแบบที่ปฏิวัติวงการแฟชั่น โดยปลดปล่อยผู้หญิงจากการสวมคอร์เซต ได้ผสมผสานลวดลายอียิปต์เข้ากับเสื้อผ้าที่มีลักษณะโค้งมนและผ่อนคลายที่เป็นเอกลักษณ์ของเขา ในทำนองเดียวกัน ล็องแวง ซึ่งมีชื่อเสียงในด้านการออกแบบที่หรูหราและสง่างาม ได้นำการปักและการประดับลูกปัดที่ได้รับแรงบันดาลใจจากอียิปต์มาใช้ในการออกแบบชุดที่ทั้งทันสมัยและเชื่อมโยงกับอดีตอันโบราณ
ศิลปะแบบอาร์ตเดโค (Art Deco) ที่กำลังเฟื่องฟูในขณะนั้น ก็สามารถเข้ากันได้ดีกับลวดลายอียิปต์ จนนำไปสู่การสร้างสรรค์เสื้อผ้าที่ทั้งทันสมัยและเต็มไปด้วยการอ้างอิงทางประวัติศาสตร์ ชุดแฟลปเปอร์ที่มีลวดลายเรขาคณิต และการออกแบบที่คล้ายกับลวดลายอียิปต์โบราณ กลายเป็นงานออกแบบที่ได้รับความนิยมมากของแฟชั่นในสมัยนั้น
บุคคลสำคัญของการแต่งกายสไตล์นี้คือ เอลซี เดอ วูลฟ์ (Elsie de Wolfe) นักออกแบบภายในที่มีชื่อเสียงชาวอเมริกันและเป็นบุคคลในสังคมชั้นสูง ที่รู้จักกันในนามเลดี้ เมนเดิล (Lady Mendel) หลังจากแต่งงาน เธอมักจะถูกถ่ายภาพในชุดเดรสที่ได้รับแรงบันดาลใจจากวัฒนธรรมอียิปต์โบราณ มิวอีกคนที่มีชื่อเสียงคือ มารี-หลุยส์ ดัชเชสแห่งวาเลนตินัวส์ (Marie-Louise, Duchess of Valentionnes) ชาวฝรั่งเศสและลูกสาวของนักการเมืองชาวฝรั่งเศสที่มีอิทธิพลอย่างมากในยุคนั้น ผู้หญิงเหล่านี้ พร้อมกับอีกหลายๆคนในสังคมชั้นสูง มีส่วนช่วยให้กระแสการฟื้นฟูแฟชั่นแบบอียิปต์โบราณเป็นที่นิยมในหมู่ชนชั้นสูง
AI แฟชั่น คอลเล็คชั่นนี้เป็นการสร้างสรรค์ขึ้นมาด้วยแรงบันดาลใจจากกระแสแฟชั่นอียิปต์โบราณ ด้วยการตีความให้เป็นเป็นแฟชั่นไทยในยุค 1920 ในสมัยรัชกาลที่ 6 ตอนปลาย ซึ่งถูกปรับให้เข้ากับลักษณะเฉพาะของไทยในยุคนั้น โดยเฉพาะการใช้ผ้ายกดิ้นทองที่สะท้อนถึงความหรูหราและความสง่างาม ซึงเข้ากันได้ดีกับความอลังการของสถาปัตยกรรมไทยที่เต็มไปด้วยสีทองและลวดลายประณีตในงานศิลปะ เป็นงานออกแบบที่ลงตัวระหว่างแฟชั่นและสถาปัตยกรรมไทยในยุคนั้น
#aifashionlab #AI #aiartist #aiart #aifashion #aifashiondesign #aifashionstyling #aifashiondesigner #fashion #fashionhistory #historyoffashion #fashionstyling #fashionphotography #digitalfashion #digitalfashiondesign #digitalcostumedesign #digitaldesign #digitalaiart #ThaiFashionHistory #ThaiFashionAI #flux
ศิราภรณ์ขนนกกระเต็นของสตรีสูงศักดิ์แห่งราชวงศ์ชิง
มงกุฎเปลวเพลิงสีฟ้า: ศิราภรณ์ขนนกกระเต็นของสตรีสูงศักดิ์แห่งราชวงศ์ชิง
ในพระราชสำนักแห่งราชวงศ์ชิงของจีน อันเต็มไปด้วยระเบียบแบบแผนแห่งความงาม เครื่องประดับของเครื่องแต่งกายที่โดดเด่นและเปี่ยมด้วยสัญลักษณ์อันสูงส่ง คือ เครื่องประดับศีรษะหรือศิราภรณ์ที่เรียกว่า ไต้จื่อ (钿子, dianzi) ที่สตรีชั้นสูงในราชสำนักสวมใส่ ด้วยโครงสร้างที่ประณีต ประดับและตกแต่งด้วยขนนกกระเต็นน้อย สีฟ้าเทอร์ควอยซ์ ที่ระยิบระยับเมื่อต้องแสง สวมใส่พร้อมกับเครื่องประดับล้ำค่าอื่น ๆ ทำให้เครื่องศีรษะชิ้นนี้กลายเป็นสัญลักษณ์ของอันสง่างามแห่งจักรพรรดินีหรือฮองเฮา 皇后 - huánghòu
ภาพในบทความนี้คือส่วนหนึ่งของคอลเลกชันที่ผมสร้างขึ้นผ่าน โมเดล AI แบบ LoRA (Low-Rank Adaptation) ที่ได้รับการฝึกจากชุดข้อมูลภาพถ่ายที่มีความละเอียดสูงของศิราภรณ์ที่เรียกว่า ไต้จื่อ จากพิพิธภัณฑ์ทั่วโลก เป็นการผสมผสานระหว่าง เทคโนโลยีแฟชั่น, การอนุรักษ์ประวัติศาสตร์ในเชิงดิจิทัล, และ การออกแบบร่วมสมัยผ่านมุมมองสร้างสรรค์
รากเหง้ามาจากแมนจู: เครื่องศีรษะแห่งอัตลักษณ์และชนชั้น
ชาวแมนจูผู้สถาปนาราชวงศ์ชิงในปี ค.ศ. 1644 นำวัฒนธรรมและวิถีชีวิตที่แตกต่างจากชาวฮั่นมาสู่ราชสำนัก หนึ่งในความแตกต่างที่เด่นชัด คือ สตรีแมนจู ไม่รัดเท้า แบบสตรีฮั่น และเลือกแสดงสถานะผ่านเครื่องแต่งกายศีรษะแทน
ศิราภรณ์ไต้จื่อไม่ได้มีสีทองตามที่หลายแหล่งเข้าใจผิด แต่กลับเปล่งประกายด้วย สีฟ้าเทอร์ควอยซ์ของขนนกกระเต็น ซึ่งเป็นการตกแต่งด้วยเทคนิคโบราณที่เรียกว่า tian-tsui (点翠) หรือ "แต้มขนนก" ซึ่งสื่อถึงศักดิ์ศรีและชาติกำเนิดอันสูงส่งของผู้สวมใส่
ศิลปะ “แต้มขนนก” (Tian-tsui 点翠)
ความงามของศิราภรณ์ไต้จื่อไม่ได้มาจากการทาสีลงไปบนโลหะที่เป็นโครงของเครื่องประดับ แต่เป็นการประดับด้วย ประดับและตกแต่งด้วยขนนกกระเต็น ซึ่งสะท้อนแสงด้วยโครงสร้างของนกแต่ละเส้น ศิลปะ “แต้มขนนก” นี้ต้องใช้ความประณีตสูง และสงวนไว้เฉพาะสตรีระดับสูงในราชสำนักเท่านั้น
ขั้นตอนการสร้าง:
ขึ้นโครงโลหะ ด้วยทอง เงิน หรือทองแดง เป็นลวดลายดอกโบตั๋น นกฟีนิกซ์ หรือเถาวัลย์มงคล
เลือกขนและติดด้วยกาวธรรมชาติ เช่น กาวปลาหรือยางไม้ เพื่อไม่ให้ขนเสียความเงางาม
ประดับเพิ่มเติม ด้วยไข่มุก หยก ปะการัง และเครื่องเคลือบลาย ทำให้เครื่องศีรษะมีมิติและอ่อนช้อยมากยิ่งขึ้น
เฉดสีฟ้าที่ได้จากขนนกกินปลามีลักษณะพิเศษที่ยากจะเลียนแบบ เป็นเครื่องหมายของอำนาจ ความมั่งคั่ง และความงามอันสูงส่งในราชสำนัก
ความงามที่แลกมาด้วยชีวิต: การค้าขายขนนกกับการสูญพันธุ์
ความนิยมในงานแต้มขนนกทำให้เกิดการล่า นกกระเต็นน้อย ในจีน เวียดนาม ลาว และไทย เพื่อนำขนมาผลิตเครื่องประดับให้กับชนชั้นสูงในราชสำนักชิง การล่านี้ส่งผลให้ประชากรนกกระเต็นน้อยในบางพื้นที่ ลดจำนวนลงอย่างรวดเร็ว หรือจนเกือบสูญพันธุ์ การค้าขายนกกระเต็นน้อยกลายเป็นธุรกิจที่สร้างความเสียหายทางสิ่งแวดล้อม สมัยปัจจุบันจึงยกเลิกการใช้ขนจริงแทบทั้งหมด และใช้วัสดุเทียมหรือวิธีจำลองทางดิจิทัลแทน
แฟชั่นสตรีในราชสำนักแห่งราชวงศ์ชิง: ภาษาแห่งอำนาจจากเครื่องแต่งกาย
การแต่งกายของสตรีในราชสำนักแห่งราชวงศ์ชิง เป็นระบบการแต่งกายที่ละเอียดอ่อน และแต่งต่างกันตามยศของเจ้านายฝ่ายใน สตรีชั้นสูงจะสวมชุด เฉาเฝา (朝服) หรือ เฉาเผ่า (朝袍) ที่มีลวดลายมังกร กลีบเมฆ และสัญลักษณ์มงคลต่างๆ
สีสัน บ่งบอกชนชั้น สีเหลืองจักรพรรดิสงวนไว้ให้ฮองเฮาเท่านั้น ส่วนสีม่วง แดง น้ำเงิน สงวนไว้สำหรับสนมชั้นรอง
เครื่องประดับ เช่น สร้อยลูกปัดยาว (chaozhu), ตุ้มหูหยก, รองเท้าผ้าไหม และแน่นอนว่า เครื่องประดับศีรษะ แบบศิราภรณ์ไต้จื่อ คือจุดเด่นที่สุด
ทรงผม มักถักแน่นและยกสูง เพื่อรองรับน้ำหนักของเครื่องประดับศีรษะ
ภาพในบทความนี้ เป็นผลลัพธ์ของการ ฝึกโมเดล AI ด้วย Flux LoRA โดยใช้ภาพของเครื่องประดับศรีษะจากพิพิธภัณฑ์หลายแห่งในโลก เพื่อฝึกให้ AI เข้าใจโครงร่างของศิราภรณ์ไต้จื่อแห่งราชวงศ์ชิง
แหล่งข้อมูล: พิพิธภัณฑ์พระราชวังต้องห้าม (ปักกิ่ง), British Museum, Victoria & Albert Museum, Metropolitan Museum of Art และพิพิธภัณฑ์เอกชน
เป้าหมาย: สร้างภาพแฟชั่นของศิราภรณ์ไต้จื่อ ของสตรีสูงศักด์แห่งราชวงศ์ชิงในรูปแบบที่ใกล้เคียงประวัติศาสตร์ที่สุด ทั้งในแง่โครงสร้าง สัดส่วน ลายปัก สี และเครื่องประดับ
จากวังหลวงสู่หน้าจอ: แรงบันดาลใจจากซีรีส์ “Ruyi’s Royal Love in the Palace”
ซีรีส์เรื่อง Ruyi’s Royal Love in the Palace (如懿传) ซึ่งออกอากาศในปี ค.ศ. 2018 ได้ฟื้นคืนความสง่างามของเครื่องแต่งกายของราชวงศ์ชิงอีกครั้ง ชุดของตัวละคร โดยเฉพาะศิราภรณ์ไต้จื่อ ถูกออกแบบอย่างประณีตเพื่อสื่อถึงสถานะ อำนาจ และอารมณ์ในแต่ละฉาก
ในคอลเลกชัน AI ของผม ผมพยายามนำจิตวิญญาณของความงามเชิงประวัติศาสตร์นั้นกลับมาอีกครั้ง ด้วยการผสมผสาน ข้อมูลเชิงพิพิธภัณฑ์, เทคโนโลยี AI, และ การออกแบบภาพด้วยเทคโนโลยีร่วมสมัย เพื่อเป็นสะพานเชื่อมโลกอดีตกับปัจจุบัน
แฟชั่นแบบตะวันตกยุคแรกแห่งสยาม: แฟชั่นสตรีไทยในต้นรัชกาลที่ 5 (พ.ศ. 2413–2433) 1870s-1880s
แฟชั่นแบบตะวันตกยุคแรกแห่งสยาม: แฟชั่นสตรีไทยในต้นรัชกาลที่ 5 (พ.ศ. 2413–2433) 1870s-1880s
ในช่วงทศวรรษแรกแห่งรัชสมัยของ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5) สยามกำลังยืนอยู่ ณ ห้วงเวลาของ ประเพณีกับความทันสมัย พระมหากษัตริย์พระองค์ใหม่เสด็จขึ้นครองราชย์หลังจากการเสด็จสวรรคตของพระราชบิดาในปี พ.ศ. 2411 (ค.ศ. 1868) ขณะมีพระชนมพรรษาเพียง 15 พรรษา ท่ามกลางแรงกดดันจากลัทธิล่าอาณานิคมตะวันตก พระองค์ทรงดำเนินนโยบายปรับตัวอย่างระมัดระวัง ทั้งในด้านการทูต การปกครอง และวัฒนธรรม เพื่อธำรงเอกราชของสยามให้มั่นคง
การเปลี่ยนผ่านครั้งนี้ได้นำไปสู่พัฒนาการที่น่าสนใจในแวดวงเครื่องแต่งกาย โดยเฉพาะในราชสำนักฝ่ายใน ซึ่งเกิดเป็นการผสมผสานกันอย่างประณีตระหว่าง โครงเสื้อแบบตะวันตกกับรสนิยมไทย นำมาสู่รูปแบบแฟชั่นที่สะท้อนตัวตนแห่งยุคสมัย และนั่นคือหัวใจของ คอลเลกชันภาพที่สร้างโดย AI ชุดนี้
อัตลักษณ์ใหม่ผ่านเครื่องแต่งกาย: เมื่อแฟชั่นราชสำนักกลายเป็นศิลปะถ้อยแถลงทางวัฒนธรรม
ในช่วงทศวรรษ 2410 (ค.ศ. 1870s) ขณะที่อังกฤษกำลังขยายอำนาจในพม่า และฝรั่งเศสเริ่มแผ่ขยายอิทธิพลในเขมรและเวียดนาม สยามเลือกแนวทางการปรับตัวอย่างมียุทธศาสตร์ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ไทยพระองค์แรกที่เสด็จประพาสต่างประเทศ ทั้งที่สิงคโปร์ ชวา และบริติชอินเดีย ขณะนั้น บริติชอินเดียอยู่ภายใต้การปกครองของ สมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรีย (Queen Victoria) ซึ่งในปี พ.ศ. 2420 (ค.ศ. 1877) ได้ทรงรับพระราชสมัญญาว่า จักรพรรดินีแห่งอินเดีย (Empress of India) อย่างเป็นทางการ ส่วนในภูมิภาคอินโดจีน จักรวรรดิฝรั่งเศสภายใต้รัชสมัยของ พระเจ้าหลุยส์ ฟิลิปป์ (สิ้นสุดในปี 1848) และต่อมาโดย นโปเลียนที่ 3 (Napoleon III)(ค.ศ. 1852–1870) ก่อนจะเปลี่ยนเป็นสาธารณรัฐฝรั่งเศสที่สาม ได้ขยายอำนาจเข้าครอบครองเวียดนาม เขมร และลาว จนกลายเป็น อินโดจีนฝรั่งเศส (French Indochina) ในเวลาต่อมา การที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ ทรงเสด็จเยือนบริติชอินเดีย จึงไม่เพียงเพื่อการเรียนรู้ แต่ยังสะท้อนการสร้างสมดุลทางอำนาจกับจักรวรรดิยุโรปทั้งสอง
ท่ามกลางฉากหลังทางการเมืองนี้ ภาพลักษณ์ของพระราชสำนักกลายเป็นเครื่องมือเชิงอำนาจละมุน (soft power) การแต่งกายของฝ่ายในโดยเฉพาะ บรรดาเจ้าจอมและพระมเหสี ได้เปลี่ยนแปลงไปเพื่อสะท้อนทั้งความเปิดรับโลกตะวันตกและความเป็นไทยที่ยังหยั่งรากลึก ซึ่งเห็นได้ชัดจากการประยุกต์ใช้ เสื้อลูกไม้แบบตะวันตก (bodice) ควบคู่กับ โจงกระเบน และ สไบ
AI กับการสืบค้นแฟชั่นในอดีต: ฟื้นคืนความงามที่เลือนหาย
คอลเลกชันนี้ถูกสร้างขึ้นจาก โมเดล AI แบบ LoRA (Low-Rank Adaptation) โดยใช้ชุดข้อมูลหลักจากสองแหล่งสำคัญ ได้แก่:
ภาพถ่ายขาวดำจาก หอจดหมายเหตุแห่งชาติ ซึ่งบันทึกภาพของ สมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี และ สมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี พระวรราชเทวี (พระอิสริยยศในขณะนั้น) ในรัชกาลที่ 5
แฟชั่นสตรีจากยุโรปในช่วง ค.ศ. 1870–1880 โดยเฉพาะชุดยุค Second Bustle ซึ่งมีลักษณะเด่นคือ เสื้อรัดรูป การสวมกระโปรงแบบโครงหางกระรอก
การเริ่มต้นคอลเล็คชั่นนี้เริ่มด้วยการลงสีภาพโบราณด้วย AI แล้วจึงพัฒนาแบบจำลองทางภาพที่สะท้อนสไตล์ ลูกผสมระหว่างความหรูหราแบบตะวันตกและอัตลักษณ์แบบสยาม
องค์ประกอบแฟชั่นสำคัญในคอลเลกชัน
เสื้อบอดีซ์ (bodice)/เสื้อลูกไม้แบบตะวันตก
เสื้อบอดีซ์แบบตะวันตกถูกปรับให้เหมาะกับอากาศร้อน โดยใช้ผ้าสีอ่อน เช่น ผ้าไหมไทย ผ้าฝ้าย ลูกไม้ปักมือ และคาดว่ามีการสวมคอร์เซ็ตแบบตะวันตกสไบและโจงกระเบน
สไบ ยังคงสวมแบบดั้งเดิม คือพันรอบตัวแล้วพาดไหล่ซ้าย ส่วน โจงกระเบน ใช้แทนกระโปรงสุ่มแบบยุโรป โดยยังคงความสง่างามของซิลูเอตไว้ถุงเท้าและรองเท้า
สตรีราชสำนักสวม ถุงเท้าลูกไม้ปักลวดลาย คู่กับ รองเท้าหนังปิดส้นหรือรองเท้าส้นเตี้ย ซึ่งสะท้อนความหรูหราและความคล่องตัวอย่างไทยทรงผม “ดอกกระทุ่ม”
ผมตัดสั้น เรียบง่าย ไม่แต่งเติมมาก เรียกว่า “ทรงดอกกระทุ่ม” เป็นทรงผมหลักของสตรีฝ่ายในในช่วงนี้ สะท้อนความเรียบง่าย ทว่าเปี่ยมด้วยกิริยางามตามแบบไทย
บริบททางวัฒนธรรม: แฟชั่นในยุคแห่งการเปลี่ยนผ่าน
แฟชั่นในยุคนี้มีความเกี่ยวพันโดยตรงกับบริบททางสังคมและการเมือง:
การปฏิรูปการปกครอง: พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ ทรงริเริ่มการปฏิรูปด้านภาษีและการบริหาร ทำให้บทบาทของชนชั้นขุนนางเปลี่ยนแปลง
การเผยแพร่วิทยาการตะวันตก: การศึกษาภาษาต่างประเทศ วิชาการตะวันตก และวิทยาศาสตร์เริ่มถูกสถาปนาในหมู่ราชสำนัก
บทบาทสตรีในสังคมไทย: เจ้านายฝ่ายในทรงมีบทบาทในด้านการแพทย์ การศึกษา และการอนามัย ดังเช่น สมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวีทรงดำรงตำแหน่งองค์สภาชนนีสภาอุณาโลมแดง อันเป็นชื่อแรกของสภากาชาดไทยเมื่อครั้งเริ่มก่อตั้งในต้นรัชกาลที่ 5
การทูตกับชาติตะวันตก: เครื่องแต่งกายกลายเป็น “ภาษา” ที่สยามใช้แสดงอารยธรรมและความก้าวหน้า เพื่อรักษาความสัมพันธ์กับจักรวรรดิอังกฤษและฝรั่งเศส
คอลเลกชัน AI นี้มีความหมายอย่างไร?
คอลเลกชันนี้มิใช่เพียงจินตนาการหรือแฟชั่นย้อนยุค แต่คือผลงานที่เกิดจากการ ศึกษา สังเคราะห์ และตีความทางประวัติศาสตร์ด้วยเครื่องมือ AI อย่างมีจริยธรรม โดยผสมผสานข้อมูลจริงจากภาพถ่ายและเครื่องแต่งกายตามแฟชั่นในอดีต แฟชั่นสามารถช่วยในการตีความและการศึกษา และยังเป็นเสมือน ภาษาของทั้งด้านการเมือง และวัฒนธรรม ได้อย่างงดงาม
เสื้อทรงแขนหมูแฮมในยุควิกตอเรียและอิทธิพลต่อราชสำนักไทยในช่วงทศวรรษ 1890
เสื้อทรงแขนหมูแฮมในยุควิกตอเรียและอิทธิพลต่อราชสำนักไทยในช่วงทศวรรษ 1890
เสื้อทรงแขนหมูแฮม: สัญลักษณ์แห่งแฟชั่นวิกตอเรีย
แขนหมูแฮมถือเป็นหนึ่งในเอกลักษณ์สำคัญของแฟชั่นยุคปลายศตวรรษที่ 19 ซึ่งสะท้อนถึงความงดงามและความประณีตของยุควิกตอเรีย ลักษณะเด่นของแขนหมูแฮมคือความพองโตบริเวณต้นแขนที่ค่อย ๆ แคบลงจนแนบชิดที่ข้อมือ ซึ่งช่วยสร้างภาพเงา (silhouette) ที่ดูโดดเด่นและสง่างาม แขนหมูแฮมได้รับแรงบันดาลใจจากแฟชั่นยุคโรแมนติกในทศวรรษ 1830 ก่อนกลับมาเป็นที่นิยมอีกครั้งในยุควิกตอเรีย
ช่วงทศวรรษ 1890 (พ.ศ. 2433–2442) แขนหมูแฮมถือเป็นแฟชั่นที่โดดเด่นเพียงทศวรรษเดียว โดยเฉพาะในปี ค.ศ. 1895 (พ.ศ. 2438) แขนเสื้อได้พัฒนาให้มีความพองโตที่สุด ซึ่งสะท้อนถึงความงดงามและความหรูหราของแฟชั่นในยุคนั้น โดยแขนหมูแฮมมักจับคู่กับเสื้อคอร์เซ็ตที่รัดแน่นและกระโปรงทรงเอไลน์ สร้างภาพลักษณ์ที่เน้นส่วนเว้าส่วนโค้งตามอุดมคติของความงามในยุควิกตอเรีย
การผสมผสานแฟชั่นตะวันตกเข้าสู่ราชสำนักไทย
ในสมัยรัชกาลที่ 5 (พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว) ประเทศสยามอยู่ในช่วงของการปรับตัวเข้าสู่ความทันสมัย รวมถึงการรับวัฒนธรรมและแฟชั่นตะวันตกเข้ามา อิทธิพลเหล่านี้ขยายไปถึงการแต่งกายในราชสำนักฝ่ายใน ซึ่งสมาชิกในฝ่ายในได้ปรับใช้แฟชั่นจากตะวันตกเข้ากับเครื่องแต่งกายไทยแบบดั้งเดิมจนเกิดเป็นสไตล์ที่เป็นเอกลักษณ์ แขนหมูแฮมกลายเป็นจุดเด่นของแฟชั่นในราชสำนัก ซึ่งแสดงถึงการผสมผสานระหว่างความทันสมัยและมรดกทางวัฒนธรรม
มีความเป็นไปได้ว่าการเสด็จประพาสยุโรปครั้งแรกของรัชกาลที่ 5 ในปี ค.ศ. 1897 (พ.ศ. 2440) มีส่วนสำคัญต่อการนำแฟชั่นแขนหมูแฮมเข้าสู่ราชสำนักไทย พระองค์อาจทรงนำแรงบันดาลใจจากแฟชั่นยุโรปกลับมาหรือสั่งตัดเสื้อผ้าสำหรับพระราชทานแก่ฝ่ายใน พร้อมทั้งแฟชั่นของชาวต่างชาติที่อาศัยอยู่ในสยามในช่วงเวลานั้น ซึ่งสะท้อนถึงความนิยมของแฟชั่นในยุคนั้น
สตรีในราชสำนักฝ่ายในได้ผสมผสานเสื้อสไตล์วิกตอเรียที่มีแขนหมูแฮมเข้ากับโจงกระเบน จนเกิดเป็นการแต่งกายที่งดงามและมีเอกลักษณ์ แขนเสื้อที่พองโตช่วยเพิ่มความสง่างาม ในขณะที่โจงกระเบนยังคงสะท้อนถึงความเป็นไทย ชุดเหล่านี้มักตัดเย็บจากผ้าไหมชั้นดี พร้อมด้วยการปักลวดลายที่ละเอียดอ่อนซึ่งผสมผสานระหว่างความงดงามแบบตะวันตกและศิลปะไทย
การฟื้นฟูประวัติศาสตร์ด้วย AI
เพื่อรักษาและเฉลิมฉลองการผสมผสานแฟชั่นที่น่าสนใจนี้ ผมได้เริ่มโครงการใช้เทคโนโลยี AI เพื่อสร้างภาพที่สะท้อนถึงความงดงามของราชสำนักไทยในช่วงทศวรรษ 1890 โดยใช้ภาพถ่ายเก่าของสตรีในราชสำนักเป็นฐานข้อมูล ผมได้ทำการปรับแต่งสีภาพเหล่านี้เพื่อเผยให้เห็นถึงความงดงามของผ้าไหมและรายละเอียดของแขนหมูแฮม
ภาพที่ปรับแต่งเหล่านี้ถูกนำมาใช้ในโมเดล AI เพื่อจำลองภาพโครงร่างเงาของแฟชั่นยุควิกตอเรียในรูปแบบที่มีเอกลักษณ์แบบไทย ผลลัพธ์ที่ได้เผยให้เห็นถึงความงดงามของเนื้อผ้า สีสันที่สดใส และรูปทรงของแขนหมูแฮมที่เข้ากันได้อย่างลงตัวกับองค์ประกอบไทยดั้งเดิม
มรดกแห่งการผสมผสานทางวัฒนธรรม
แขนหมูแฮมถือเป็นแฟชั่นในช่วงเวลาที่สั้นๆในประวัติศาสตร์แฟชั่นยุควิกตอเรีย ซึ่งสะท้อนถึงความนิยมและนวัตกรรมในยุคนั้น อิทธิพลของแฟชั่นแขนหมูแฮมต่อราชสำนักไทยในทศวรรษ 1890 แสดงถึงการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมที่น่าสนใจ ซึ่งแฟชั่นกลายเป็นเครื่องมือสำคัญในการเชื่อมโยงความงามจากสองวัฒนธรรม การใช้เทคโนโลยี AI ในการฟื้นฟูแฟชั่นเหล่านี้ช่วยให้เราสามารถอนุรักษ์ความงดงามและเผยแพร่มรดกนี้ให้คนรุ่นหลังได้ชื่นชมต่อไป
เพราะรัฐธรรมนูญเปิดทางให้สตรีสยามเฉิดฉาย
เพราะรัฐธรรมนูญเปิดทางให้สตรีเฉิดฉาย
รู้จัก “กันยา เทียนสว่าง” นางสาวสยามคนแรกของไทย
ในวันที่ “ผู้หญิง” กลายเป็นสัญลักษณ์แห่งประชาธิปไตย
“กันยา เทียนสว่าง” คือหญิงสาวผู้ได้รับตำแหน่ง นางสาวสยามคนแรกของประเทศ ในปี พ.ศ. 2477 ท่ามกลางกระแสการเปลี่ยนผ่านของสังคมไทยหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง รัฐบาลโดยกระทรวงมหาดไทยได้จัดงานฉลองครบรอบ 2 ปีรัฐธรรมนูญ และได้ริเริ่มการประกวด “นางสาวสยาม” เป็นครั้งแรก ณ สวนสราญรมย์ ซึ่งเป็นที่ตั้งของสโมสรคณะราษฎรในเวลานั้น
กันยา เทียนสว่าง ซึ่งขณะนั้นมีอายุ 21 ปี เข้าร่วมประกวดในนามของจังหวัดพระนคร และเป็นหนึ่งใน 50 สาวงามที่ขึ้นเวทีประชันความงามในค่ำคืนวันที่ 10 ธันวาคม โดยการประกวดตัดสินผลในคืนวันที่ 12 ธันวาคม เธอทำงานเป็นครูอยู่ที่โรงเรียนประชาบาลทารกานุเคราะห์ และสำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนวัดสังเวช โรงเรียนราชินี และโรงเรียนสตรีวิทยา
กันยาเกิดเมื่อวันที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2457 ที่อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี เดิมชื่อ “เจียเป็งเซ็ง” ชื่อเล่นว่า “ลูซิล” เพราะมีใบหน้าคม จมูกโด่งดูคล้ายชาวตะวันตก เธอเป็นธิดาคนโตของนายสละ เทียนสว่าง นายท่าเรือที่ท่าเขียวไข่กา บางกระบือ และนางสนอม เทียนสว่าง ซึ่งเป็นสตรีเชื้อสายมอญ
การประกวดในครั้งนั้นได้รับความสนใจอย่างล้นหลามจากประชาชนทั่วประเทศ เพราะเป็นกิจกรรมใหม่ที่เปิดโอกาสให้สตรีไทยได้แสดงตัวตนต่อสาธารณชนในสังคมประชาธิปไตย โดยมีหนังสือพิมพ์ประชาชาติรายงานข่าวอย่างต่อเนื่อง คณะกรรมการประกอบด้วยบุคคลสำคัญ เช่น พระองค์เจ้าอาทิตย์ทิพอาภา เจ้าพระยารามราฆพ และได้รับการดูแลเรื่องเครื่องแต่งกายโดยหม่อมกอบแก้ว อาภากร ณ อยุธยา
รางวัลที่เธอได้รับประกอบด้วย มงกุฎเงินประดับเพชร หุ้มผ้ากำมะหยี่ปักดิ้นเงิน ล็อกเก็ตทองคำ ขันเงินสลักคำว่า "นางสาวสยาม ๗๗" เข็มกลัดทองคำลงยาอักษร “รัฐธรรมนูญ ๗๗” และเงินสด 1,000 บาท (ซึ่งต่อมาทางรัฐบาลขอรับคืนเพื่อบริจาคสมทบทุนการทหาร) มงกุฎของเธอภายหลังได้สูญหายเนื่องจากถูกขโมยในช่วงก่อนที่เธอจะเข้าพิธีสมรส
แม้จะได้รับตำแหน่งอันทรงเกียรติ แต่การประกวดของกันยาในครั้งนั้นสร้างความไม่พอใจให้แก่ญาติผู้ใหญ่ เนื่องจากเธอไปประกวดโดยไม่ได้แจ้งล่วงหน้า และด้วยคติความเชื่อของชาวมอญในสมัยนั้น การขึ้นเวทีแสดงตนในที่สาธารณะยังถือว่าเป็นเรื่องไม่เหมาะสม
หลังพ้นจากตำแหน่ง กันยาได้เข้าทำงานที่หอสมุดแห่งชาติ และได้พบกับ ดร. สุจิต หิรัญพฤกษ์ ข้าราชการกระทรวงการต่างประเทศ ทั้งคู่สมรสกันเมื่อวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2486 โดยมีนายดิเรก ชัยนาม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเป็นเจ้าภาพในพิธี
ชีวิตสมรสของกันยาเปี่ยมด้วยความรักและความเข้าใจ เธอมีบุตรธิดาทั้งหมด 5 คน ได้แก่ สุกันยา (นิมมานเหมินท์), ทินกร, สุจิตรา, สุวิชา และสุชาติ ดร. สุจิต ต่อมาได้รับเลือกเป็นผู้แทนราษฎรจังหวัดปทุมธานี และเป็นตัวแทนไทยในการประชุมสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติครั้งแรก โดยดำรงตำแหน่งโฆษกฝ่ายไทยประจำสำนักงานใหญ่ UN ที่นิวยอร์ก
ครอบครัวของเธอยังได้ดำเนินกิจการเพาะเลี้ยงไข่มุก “นาคาไข่มุก” บนเกาะนาคา จังหวัดภูเก็ตอีกด้วย
อย่างไรก็ตาม งานประกวดนางสาวสยามในบริบทของงานฉลองรัฐธรรมนูญต้องยุติลงในปี พ.ศ. 2497 เนื่องจากสถานการณ์สงครามโลกครั้งที่ 2 ทำให้ไม่สามารถจัดกิจกรรมต่อเนื่องได้ จึงปิดฉากงานเฉลิมฉลองที่เคยเป็นสัญลักษณ์แห่งเสรีภาพและบทบาทสตรีในสังคมประชาธิปไตยไทยไปในที่สุด
พัสตราภรณ์สยามในสมัยรัชกาลที่ ๖ (ตอนที่ ๓)
พัสตราภรณ์สยามในสมัยรัชกาลที่ ๖ (ตอนที่ ๓)
จินตนาการถึงกรุงเทพฯ ในช่วงปลายรัชกาลพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว — โลกคู่ขนานที่สังคมไทยรับเอาแฟชั่นตะวันตกมาประยุกต์ใช้ในบริบทไทยได้อย่างวิจิตรบรรจง คอลเลกชันนี้ถ่ายทอดจินตนาการนั้น ด้วยการผสานความงามของศิลปะแบบอาร์ตเดโคในยุค 1920 เข้ากับโครงร่างเสื้อผ้าแบบไทย และงานหัตถศิลป์อันประณีตงดงาม
คอลเลกชันนี้มี สองโครงร่างสำคัญ ที่โดดเด่น: โครงร่างแรกได้แรงบันดาลใจจากการแต่งกายแบบไทยดั้งเดิม คือ โครงร่างเส้นตรงคล้ายการนุ่งผ้าซิ่น ซึ่งมีรูปทรงตรง เรียบง่าย สง่างาม โดยชุดในสไตล์นี้ประดับด้วยลวดลายปักละเอียด และการปักลูกปัดวิจิตร พร้อมสายสะพายผ้าไหมที่พาดไหล่ สะท้อนความงามของการแต่งกายชั้นสูงในสังคมไทย
โครงร่างที่สองเป็นการนำเสนอ แฟชั่นตะวันตกยุค 1920 ซึ่งมีลักษณะ ชายกระโปรงบานเป็นชั้น ผ้าชีฟอง และความเคลื่อนไหวที่เป็นอิสระ แบบแฟลปเปอร์ ชุดเดรสประดับด้วยงานลูกปัดและผ้าหรูหรา ตัดเย็บอย่างวิจิตรบรรจง ถ่ายทอดบรรยากาศของความสนุกสดใสในแบบตะวันตก แต่ยังคงไว้ซึ่งความสง่างามแบบไทย
สองโครงร่างนี้ — รูปทรงผ้าซิ่นแบบเส้นตรงของไทย และเดรสแฟลปเปอร์ที่มีชีวิตชีวาของตะวันตก — ผสานกันอย่างกลมกลืน ถ่ายทอดเรื่องราวของยุคสมัยที่ไทยเปิดรับโลกสมัยใหม่โดยยังรักษารากเหง้าของตนเอง
บรรยากาศของกรุงเทพฯ ในยุค 1920 — เมืองที่กำลังตื่นตัวกับความทันสมัย แต่ยังคงรักษาเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมไว้ — ถูกถ่ายทอดผ่านงานออกแบบในคอลเลกชันนี้อย่างชัดเจน ชุดเดรสประดับด้วยงานปักและงานประดับลูกปัดอันวิจิตร ผสมผสานลวดลายเรขาคณิตและสีเมทาลิคแบบศิลปะแบบอาร์ตเดโคอย่างลงตัว
สำหรับเครื่องแต่งกายสุภาพบุรุษ คอลเลกชันนี้นำเสนอแฟชั่นสากลแบบ evening dress ยุค 1920 ด้วยชุดสูทแบบ white tie ประกอบด้วยเสื้อโค้ตหางยาว เสื้อกั๊กสีงาช้าง โบว์ไทสีขาว และเสื้อเชิ้ตแบบเป็นทางการ สะท้อนถึงความสง่างามของสุภาพบุรุษสยามที่เปิดรับวัฒนธรรมตะวันตกในช่วงปลายรัชกาลที่ ๖
อิทธิพลของศิลปะแบบอาร์ตเดโคในแฟชั่นสยาม
ศิลปะแบบอาร์ตเดโค ถือเป็นหนึ่งในขบวนการออกแบบที่ทรงอิทธิพลที่สุดในต้นศตวรรษที่ 20 กำเนิดขึ้นในฝรั่งเศสช่วงทศวรรษ 1910 และรุ่งเรืองสูงสุดในช่วงทศวรรษ 1920–1930 มีลักษณะเด่นคือรูปทรงเรขาคณิต ความสมมาตร และการเลือกใช้วัสดุหรูหรา อาร์ตเดโคเน้นเส้นตรง มุมแหลม และสีเมทาลิค เช่น สีทอง สีเงิน และสีคอปเปอร์ เป็นการสื่อถึงความก้าวหน้าและความงามแบบโฉบเฉี่ยวในยุคสมัยใหม่
แฟชั่นยุค 1920: ยุคใหม่แห่งความสง่างาม
แฟชั่นในทศวรรษ 1920 เป็นช่วงเวลาของการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ผู้หญิงเริ่มละทิ้งเสื้อผ้ารัดรึงแบบเดิม หันมาใช้เสื้อผ้าที่เคลื่อนไหวได้อย่างอิสระ สไตล์แฟลปเปอร์กลายเป็นสัญลักษณ์ของยุคนี้ มีลักษณะเด่นคือ ช่วงเอวต่ำ เดรสยาวระดับเข่า และการตกแต่งหรูหรา ออกแบบโดยดีไซเนอร์ชื่อดัง เช่น Jeanne Lanvin, Coco Chanel และ Paul Poiret
ในคอลเลกชันนี้ เดรสถ่ายทอดความงามของแฟชั่นอาร์ตเดโค ด้วยงานปัก งานลูกปัด และแอปพลิเคอย่างวิจิตร เครื่องประดับ เช่น สร้อยไข่มุกเส้นยาว ที่คาดผมลูกปัดประดับขนนก ถุงมือผ้าซาติน และรองเท้าส้นสูง ล้วนเสริมให้ลุคโดยรวมสง่างามอย่างถึงขีดสุด
ไฮไลต์ของคอลเลกชัน
หนึ่งในชุดที่โดดเด่นที่สุด คือการนุ่งผ้าซิ่นตีนจกยกดิ้นทอง ต่อด้วยชายผ้าตุ้งติ้งลูกปัดทอง ใส่คู่กับเสื้อบ่าห้อยผ้าแพรยกดิ้นทอง และสร้อยไข่มุกธรรมชาติเม็ดเล็กไม่เท่ากัน รายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้ยกระดับความงดงามของเครื่องแต่งกายให้โดดเด่นยิ่งขึ้น
คอลเลกชันนี้จึงเป็นการรังสรรค์ภาพแห่งความสง่างามและจิตวิญญาณสมัยใหม่ของกรุงเทพฯ ในทศวรรษ 1920 ถ่ายทอดช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนผ่านที่ศิลปะแฟชั่นตะวันตกและแฟชั่นไทยโบราณผสานกันได้อย่างงดงามไร้รอยต่อ
#aifashionlab #AI #aiartist #aiart #aifashion #aifashiondesign #aifashionstyling #aifashiondesigner #fashion #fashionhistory #historyoffashion #fashionstyling #fashionphotography #digitalfashion #digitalfashiondesign #digitalcostumedesign #digitaldesign #digitalaiart #BurmeseFashionHistory #BurmeseFashionAI #flux #fluxlora
งานราตรีสโมสรและเครื่องแต่งกายแบบพิธีการในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
ความรุ่งเรืองแห่งราชสำนักสยาม: งานราตรีสโมสรและเครื่องแต่งกายแบบพิธีการในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
คอลเลกชันนี้ได้รับแรงบันดาลใจจากงานราตรีสโมสรของสตรีฝ่ายใน และเครื่องแต่งกายเต็มยศของข้าราชการและขุนนางฝ่ายหน้า ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ช่วงเวลาดังกล่าวถือเป็นช่วงที่ราชสำนักสยามเริ่มมีการปรับเปลี่ยนไปสู่ความเป็นตะวันตกอย่างสำคัญ โดยเฉพาะในด้านเครื่องแต่งกายในราชสำนัก เครื่องแบบทหาร และเครื่องแต่งกายแบบพิธีการ ทั้งนี้ได้รับอิทธิพลโดยตรงจากจากการปรับปรุงประเทศสยามให้ทันสมัย โดยมีแบบอย่างจากราชสำนักอังกฤษและยุโรปอย่างชัดเจน
แฟชั่นของสตรีฝ่ายในแห่งราชสำนักสยามในช่วงปลายรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (ราว พ.ศ. 2443–2453) เป็นการหลอมรวมอย่างงดงามระหว่างองค์ประกอบไทยดั้งเดิมกับความสง่างามแบบตะวันตกในยุคเอ็ดเวิร์ดเดียน เครื่องแต่งกายแบบดั้งเดิม เช่น โจงกระเบน แพรสะพาย และเสื้อลูกไม้ ยังคงได้รับการรักษาไว้ แต่โครงสร้างเสื้อผ้า เทคนิคการตัดเย็บ และการเลือกใช้เนื้อผ้าเริ่มสะท้อนรสนิยมตะวันตกมากยิ่งขึ้น เสื้อราชสำนักมีการพัฒนาเป็นเสื้อลูกไม้หรือเสื้อผ้าฝ้ายเนื้อบางเบา เปิดคอกว้างขึ้น แขนเสื้อสามส่วน ได้แรงบันดาลใจจากรูปทรง “อกพอง” (Pigeon-Breast Silhouette) ซึ่งเป็นที่นิยมในยุคเอ็ดเวิร์ดเดียน โทนสีที่ใช้เน้นความอ่อนหวาน เช่น สีงาช้าง ขณะเดียวกัน แพรสะพายก็ได้รับการพัฒนาให้เล็กลง และเบาบางมากขึ้น โดยนำเทคนิคการจับเดรปแบบชุดราตรียุโรปมาใช้ ทรงผมก็มีการปรับเปลี่ยน ทรงดอกกระทุ่มแบบดั้งเดิมได้รับการจัดแต่งให้พองและประณีตมากขึ้น คล้ายกับทรง Gibson Girl ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของสตรีทันสมัยในยุคนั้น สตรีฝ่ายในยังตกแต่งด้วยเครื่องประดับ เช่น สร้อยไข่มุกหลายชั้น เข็มกลัดประดับอัญมณี และแถบคาดศีรษะ (bandeaux) ผสานเสน่ห์ของราชสำนักไทยกับความวิจิตรแบบตะวันตกได้อย่างลงตัว
สำหรับข้าราชการและขุนนางฝ่ายหน้า เครื่องแบบราชสำนักและเครื่องแบบทหารแบบตะวันตกกลายเป็นมาตรฐาน เครื่องแต่งกายเต็มยศของอังกฤษถือเป็นต้นแบบหลัก ประกอบด้วยเสื้อแจ็คเก็ตสูทแบบมีหางปักดิ้นทอง อินทรธนูทอง สายสะพาย และเหรียญตราแบบยุโรป สำหรับกางเกงกาง สามารถสวมเกงขายาวสีขาวหรือกางเกงขาสั้นเหนือเข่า พร้อมทั้งถุงนองยาวสีขาว เครื่องแต่งกายเหล่านี้ไม่เพียงแต่แสดงถึงยศศักดิ์และความจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์ แต่ยังสะท้อนภาพลักษณ์ของสยามในฐานะประเทศสมัยใหม่ที่ศิวิไลซ์ ภายใต้รัชกาลพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 6) เครื่องแบบทหารยังคงพัฒนาต่อเนื่องตามต้นแบบอังกฤษและฝรั่งเศส โดยมีการใช้ชุด Mess Dress อินทรธนูทอง และหมวก bicorne อย่างแพร่หลาย
เครื่องแต่งกายราชสำนักในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 มีบทบาทเกินกว่าความงามเชิงพิธีการ หากแต่เป็นสัญลักษณ์ของความทันสมัย การทูต และความภาคภูมิใจในความเป็นชาติ แม้ว่าจะเปิดรับอิทธิพลตะวันตก แต่ราชสำนักสยามยังคงรักษาความเป็นไทยผ่านงานปักทองที่ได้รับแรงบันดาลใจจากลวดลายศิลปะไทย การเปลี่ยนแปลงเครื่องแต่งกายในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงนับเป็นหลักฐานอันโดดเด่นที่สะท้อนให้เห็นถึงการดำเนินยุทธศาสตร์แห่งความทันสมัยควบคู่ไปกับการธำรงเอกลักษณ์ของชาติ ท่ามกลางกระแสจักรวรรดินิยมที่แผ่ขยายไปทั่วโลก
พัสตราภรณ์สยามในสมัยรัชกาลที่ ๖ ตอนปลาย (ตอนที่ ๒)
พัสตราภรณ์สยามในสมัยรัชกาลที่ ๖ ตอนปลาย (ตอนที่ ๒)
จินตนาการถึงกรุงเทพฯ ในช่วงปลายรัชกาลพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ในโลกคู่ขนานที่สังคมไทยรับเอาแฟชั่นตะวันตกเข้ามาปรับใช้ในบริบทแฟชั่นไทย คอลเลกชันนี้นำเสนอความงามแบบอาร์ตเดโคยุค 1920 ผ่านชุดเดรสแบบผสมผสานที่ประดับด้วยงานปักอันประณีต และโครงร่างเงาแบบไทยๆ เช่นการนุ่งผ้าซิ่น สไตล์นี้สะท้อนถึงความหรูหราและสง่างามของยุคสมัยในบริบทแบบไทยผสมตะวันตก เข้ากับบรรยากาศของกรุงเทพฯ ได้เป็นอย่างดี
คอลเลกชันนี้ ผมได้เพิ่มเครื่องแต่งกายสุภาพบุรุษ แฟชั่นชุดสูทแบบ evening dress แบบสากล ในทศวรรษ 1920 สูทแบบ white tie พร้อมเสื้อโค้ตหางยาวแบบราตรีสโมสร พร้อมกับโบว์ไทสีขาว และเสื้อกั๊กสีงาช้าง การแต่งตัวที่ถูกธรรมเนียมสากลแบบนี้ สื่อถึงความสง่างามแบบชายสยามในยุคที่เปิดรับวัฒนธรรมตะวันตกในสมัย ร ๖
ศิลปะแบบอาร์ตเดโค หรือศิลปะแบบอลังการศิลป์ เป็นหนึ่งในขบวนการออกแบบที่ทรงอิทธิพลที่สุดของต้นศตวรรษที่ 20 โดยมีลักษณะเด่นคือรูปทรงเรขาคณิต ความสมมาตรอันโดดเด่น และวัสดุที่หรูหรา กำเนิดขึ้นในฝรั่งเศสช่วงทศวรรษ 1910 ก่อนจะถึงจุดสูงสุดในทศวรรษ 1920 และ 1930 ศิลปะแนวนี้ตอบรับความทันสมัย ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี และความหลงใหลในความงามที่โฉบเฉี่ยว ซึ่งเป็นการแยกกระบวนการศิลปะแบบลายเส้นโค้งอันอ่อนช้อยของศิลปะแบบอาร์ตนูโว ด้วยการแทนที่ด้วยศิลปะที่ใช้เส้นตรง มุมแหลม และลวดลายแบบเรขาคณิต ซึ่งมีอิทกับแฟชั่นและการแต่งกายที่มีความหรูหรา และโครงร่างเงา แบบทรงเลขาคณิต และองค์ประกอบที่เต็มไปด้วยสีเมทาลิค เช่น สีทอง สีเงิน และคอปเปอร์
แฟชั่นยุค 1920: ยุคใหม่แห่งความสง่างาม ทศวรรษ 1920 เป็นช่วงเวลาปฏิวัติวงการแฟชั่น ผู้หญิงเริ่มละทิ้งเครื่องแต่งกายที่รัดรึงจากยุคก่อนหน้า และหันมาใช้เสื้อผ้าที่มีเส้นสายอิสระมากขึ้น สไตล์แฟลปเปอร์กลายเป็นสัญลักษณ์ของยุคนี้ โดยมีลักษณะเด่นคือช่วงเอวที่ลดต่ำลง เดรสยาวระดับเข่า และการตกแต่งที่หรูหราออกแบบโดยดีไซเนอร์ชื่อดัง เช่น Jeanne Lanvin, Coco Chanel และ Paul Poiret ชุดเดรสในคอลเลกชันนี้สะท้อนถึงความสวยงามของแฟชั่นอาร์ตเดโค พร้อมการปักลวดลายอย่างประณีต และเพิ่มเติมด้วยลูกปัดและงานปักแบบแอปพลิเค รวมไปถึงเครื่องประดับ เช่น สร้อยไข่มุก ที่คาดผมประดับลูกปัดและขนนก ถุงมือซาติน และรองเท้าส้นสูง ทำให้ลุคโดยรวมมีความหรูหราและสง่างามมากยิ่งขึ้น
มีหลายภาพที่ผมชอบมากเป็นพิเศษ คือภาพผ้าซิ่นตีนจกยกดิ้นทอง ต่อด้วยตุ้งติ้งลูกปัดทอง ใส่กับเสื้อบ่าห้อยผ้าแพรยกดิ้นทอง และสร้อยมุกเม็ดเล็กขนาดไม่เท่ากันแบบมุกธรรมชาติ รายละเอียดเล็กๆน้อยๆเหล่าทำให้ชุดสวยขึ้นมาก คอลเลกชันนี้จึงนำเสนอภาพความสง่างามและความทันสมัยของกรุงเทพฯ ในทศวรรษ 1920 ซึ่งเป็นการรังสรรค์ช่วงเวลาแห่งประวัติศาสตร์ที่ผสานความเป็นสมัยใหม่ ความหรูหรา และศิลปะแห่งแฟชั่นตะวันตกที่ผสมผสานกับแฟชั่นไทยได้อย่างลงตัว
พัสตราภรณ์สยามในสมัยรัชกาลที่ ๖ ตอนปลาย (ตอนที่ ๑)
พัสตราภรณ์สยามในสมัยรัชกาลที่ ๖ ตอนปลาย (ตอนที่ ๑)
จินตนาการถึงกรุงเทพฯ ในช่วงปลายรัชกาลพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ในโลกคู่ขนานที่สังคมไทยรับเอาแฟชั่นตะวันตกเข้ามาปรับใช้ในบริบทแฟชั่นไทย คอลเลกชันนี้นำเสนอความงามแบบอาร์ตเดโคยุค 1920 ผ่านชุดเดรสแบบผสมผสานที่ประดับด้วยงานปักอันประณีต และโครงร่างเงาแบบไทยๆ เช่นการนุ่งผ้าซิ่น สไตล์นี้สะท้อนถึงความหรูหราและสง่างามของยุคสมัยในบริบทแบบไทยผสมตะวันตก เข้ากับบรรยากาศของกรุงเทพฯ ได้อย่างลงตัว
ศิลปะแบบอาร์ตเดโค หรือศิลปะแบบอลังการศิลป์ เป็นหนึ่งในขบวนการออกแบบที่ทรงอิทธิพลที่สุดของต้นศตวรรษที่ 20 โดยมีลักษณะเด่นคือรูปทรงเรขาคณิต ความสมมาตรอันโดดเด่น และวัสดุที่หรูหรา กำเนิดขึ้นในฝรั่งเศสช่วงทศวรรษ 1910 ก่อนจะถึงจุดสูงสุดในทศวรรษ 1920 และ 1930 ศิลปะแนวนี้ตอบรับความทันสมัย ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี และความหลงใหลในความงามที่โฉบเฉี่ยว ซึ่งเป็นการแยกกระบวนการศิลปะแบบลายเส้นโค้งอันอ่อนช้อยของศิลปะแบบอาร์ตนูโว ด้วยการแทนที่ด้วยศิลปะที่ใช้เส้นตรง มุมแหลม และลวดลายแบบเรขาคณิต ซึ่งมีอิทกับแฟชั่นและการแต่งกายที่มีความหรูหรา และโครงร่างเงา แบบทรงเลขาคณิต และองค์ประกอบที่เต็มไปด้วยสีเมทาลิค เช่น สีทอง สีเงิน และคอปเปอร์
แฟชั่นยุค 1920: ยุคใหม่แห่งความสง่างาม ทศวรรษ 1920 เป็นช่วงเวลาปฏิวัติวงการแฟชั่น ผู้หญิงเริ่มละทิ้งเครื่องแต่งกายที่รัดรึงจากยุคก่อนหน้า และหันมาใช้เสื้อผ้าที่มีเส้นสายอิสระมากขึ้น สไตล์แฟลปเปอร์กลายเป็นสัญลักษณ์ของยุคนี้ โดยมีลักษณะเด่นคือช่วงเอวที่ลดต่ำลง เดรสยาวระดับเข่า และการตกแต่งที่หรูหราออกแบบโดยดีไซเนอร์ชื่อดัง เช่น Jeanne Lanvin, Coco Chanel และ Paul Poiret ชุดเดรสในคอลเลกชันนี้สะท้อนถึงความสวยงามของแฟชั่นอาร์ตเดโค พร้อมการปักลวดลายอย่างประณีต และเพิ่มเติมด้วยลูกปัดและงานปักแบบแอปพลิเค รวมไปถึงเครื่องประดับ เช่น สร้อยไข่มุก ที่คาดผมประดับลูกปัดและขนนก ถุงมือซาติน และรองเท้าส้นสูง ทำให้ลุคโดยรวมมีความหรูหราและสง่างามมากยิ่งขึ้น มีหลายภาพที่ชอบมากเป็นพิเศษ คือภาพผ้าซิ่นตีนจกยกดิ้นทอง ต่อด้วยตุ้งติ้งลูกปัดทอง ใส่กับเสื้อบ่าห้อยผ้าแพรยกดิ้นทอง และสร้อยมุกเม็ดเล็กขนาดไม่เท่ากันแบบมุกธรรมชาติ รายละเอียดเล็กๆน้อยๆเหล่าทำให้ชุดสวยขึ้นมาก
คอลเลกชันนี้จึงนำเสนอภาพความสง่างามและความทันสมัยของกรุงเทพฯ ในทศวรรษ 1920 ซึ่งเป็นการรังสรรค์ช่วงเวลาแห่งประวัติศาสตร์ที่ผสานความเป็นสมัยใหม่ ความหรูหรา และศิลปะแห่งแฟชั่นตะวันตกที่ผสมผสานกับแฟชั่นไทยได้อย่างลงตัว
จินตนาการแฟชั่นกีฬาเทนนิสในประเทศไทย สมัยรัชกาลที่ ๗
จินตนาการแฟชั่นกีฬาเทนนิสในประเทศไทย สมัยรัชกาลที่ ๗
ในยุคที่ประเพณีและนวัตกรรมมาบรรจบกัน คอลเลกชันภาพจากการเทรน AI ด้วย Flux LoRA นี้ ได้จินตนาการถึงแฟชั่นของหญิงไทยที่เล่นกีฬาเทนนิสในรัชสมัย พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 7) ระหว่าง พ.ศ. 2468–2475 โดยสะท้อนสไตล์การแต่งกายที่ผสมผสานระหว่าง แฟชั่นยุคแฟลปเปอร์ของตะวันตก กับ แฟชั่นไทยแบบผสมผสาน ด้วยผ้าซิ่น คู่กับเสื้อแขนกุดที่เคลื่อนไหวได้คล่องตัว เหมาะกับการวิ่งตีลูกเทนนิสในสนามลอนเทนนิสที่มักเป็นพื้นดินในยุคนั้น
แรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์คอลเล็คชั่นนี้ มาจากจากภาพถ่ายของสุภาพสตรีไทยที่เล่น แบดมินตัน โดยสวมผ้าซิ่นกับเสื้อแบบตะวันตก เป็นการแต่งกายที่ทั้งสวยงามและสามารถเคลื่อนไหวได้สะดวก ภาพถ่ายขาวดำดังกล่าวเป็นจุดตั้งต้นของคอลเลกชันนี้ ส่วนภาพสีทั้งหมด เป็นการสร้างสรรค์ขึ้นมาใหม่ด้วย AI เพื่อนำเสนอแนวคิดด้านแฟชั่นในรูปแบบภาพจำลอง ทางประวัติศาสตร์ด้วย AI ที่แสดงให้เห็นถึงจินตนาการของการเล่นเทนนิสในสมัยนั้น ก่อนที่การแต่งตัวด้วยชุดกีฬาสีขาวตามตะวันตกจะเป็นที่นิยม
อิทธิพลของแฟชั่นสไตล์แฟลปเปอร์ผสมกับกลิ่นอายแบบสยาม สไตล์ของแฟชั่นที่ปรากฏในคอลเลกชันนี้สะท้อนอิทธิพลของ แฟชั่นแฟลปเปอร์ยุค 1920s ไม่ว่าจะเป็นเสื้อทรงหลวม คอเสื้อเปิด หมวกคลอช (cloche hats) หรือแถบคาดผม ทว่าองค์ประกอบทั้งหมดกลับมีรากฐานอยู่ในอัตลักษณ์ไทยอย่างชัดเจน ผ่านการเลือกใช้ ผ้าซิ่นลายทาง และการแมตช์กับเครื่องประดับยุคเก่า เช่น ไม้แร็กเกต ลูกไม้ ถุงเท้า และรองเท้า ซึ่งล้วนสะท้อนถึงแฟชั่นนักกีฬาในยุคนั้น
ฉากหลัง: สนามเทนนิสยุคแรก สนามเทนนิสในจินตนาการของคอลเลกชันนี้มิใช่สนามหญ้าหรือพื้นสังเคราะห์แบบปัจจุบัน แต่เป็น สนามดิน ตามรูปแบบสนามลอนเทนนิสในสยามช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 ซึ่งมักพบในบ้านของนักการทูตชาวต่างชาติ หรือสถานทูต หรือสมาคมกีฬา สะท้อนถึงช่วงเริ่มต้นของวัฒนธรรมกีฬาเทนนิสในหมู่ชนชั้นนำ
ประวัติกีฬาเทนนิสในประเทศไทย
ถึงแม้จะไม่มีหลักฐานแน่ชัดว่าใครเป็นผู้นำเทนนิสเข้าสู่ประเทศไทย แต่สันนิษฐานกันว่ากีฬานี้เริ่มขึ้นในรัชสมัย พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5) โดยชาวอังกฤษและอเมริกันที่เดินทางเข้ามาทำงานในไทย ในช่วงแรก เทนนิสเป็นที่นิยมในกลุ่มชาวต่างชาติเท่านั้น ต่อมาจึงเริ่มมีเจ้านายและข้าราชการไทยเล่นบ้าง ในยุคแรกนั้น บางท่านยังคงสวม ผ้าม่วง และบางคนยัง อมหมาก ขณะเล่น ต่อมาได้มีการรับแบบแผนฝรั่ง โดยเปลี่ยนมาสวม กางเกงขายาวสีขาว ซึ่งถือว่าสุภาพกว่า
จุดเริ่มต้นของสโมสรเทนนิส
ราว ปี พ.ศ. 2460 ประชาชนเริ่มให้ความสนใจกีฬานี้มากขึ้น จึงมีการตั้ง สโมสรเทนนิสแห่งแรก ที่สวนสราญรมย์ โดยมีสมาชิกเพียง 10 คน ต่อมาย้ายไปที่พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ แต่ก็ยุบตัวไปในที่สุด ในช่วงเวลาใกล้เคียงกันก็มีสโมสรอื่นๆ เช่น บางกอกยูไนเต็ดคลับ และสนามเทนนิสส่วนตัวของชาวต่างชาติ เช่น ที่บ้าน มิสเตอร์ลอฟตัส (ใกล้โรงเรียนนายเรือ), บ้าน หมอแม็คฟาแลนด์ (โรงพยาบาลศิริราช), และ บ้านมิสเตอร์บัสโฟร์ หลังฐานทัพเรือ
การก่อตั้งลอนเทนนิสสมาคมแห่งประเทศไทย
ในปี พ.ศ. 2469 พระวรวงศ์เธอ กรมหมื่นพิทยาลงกรณ์ ได้ทรงจัดตั้ง ลอนเทนนิสสมาคมแห่งประเทศไทย โดยเชิญตัวแทนจาก 12 สโมสร อาทิ ราชกรีฑาสโมสร สโมสรสีลม สโมสรเชียงใหม่ยิมคานา และสโมสรสงขลา มาประชุมที่วังของพระองค์ และได้รับการแต่งตั้งเป็น นายกสมาคมคนแรก พร้อมออกกฎข้อบังคับซึ่งยังคงใช้มาจนถึงปัจจุบัน
วันที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2470 จึงถือเป็น วันสถาปนาลอนเทนนิสสมาคมฯ อย่างเป็นทางการ และในปลายปีเดียวกัน สมาคมได้จัดการแข่งขันเทนนิสชิงแชมป์ประเทศไทยครั้งแรกที่ สโมสรสีลม พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงรับสมาคมไว้ในพระบรมราชูปถัมภ์ และทรงโปรดกีฬาเทนนิสอย่างมาก โดยทรงตีเทนนิสเป็นประจำที่ วังสุโขทัย
พัฒนาการในยุคต่อมา
ปี พ.ศ. 2494 มีการออก ตราสัญลักษณ์ เป็นพระมหามงกุฎและเลข 7 เพื่อรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของ ร.7
ปี พ.ศ. 2495 มีการแปลกติกาลอนเทนนิสนานาชาติเป็นภาษาไทย
ปี พ.ศ. 2509 ไทยเป็นเจ้าภาพ กีฬาเอเชียนเกมส์ ครั้งที่ 5 โดยจัดแข่งเทนนิสที่สนามศุภชลาศัย
ปี พ.ศ. 2520 การกีฬาแห่งประเทศไทยสร้างสนามเทนนิส 6 คอร์ตที่หัวหมากและมอบให้ลอนเทนนิสสมาคมฯ ใช้เป็นสำนักงานใหญ่
ความสำเร็จระดับนานาชาติ
ปี พ.ศ. 2521 ที่ไทยเป็นเจ้าภาพ กีฬาเอเชียนเกมส์ ครั้งที่ 8 นักเทนนิสไทยประเภทคู่ผสมคือ จารึก เฮงรัศมี และ สุทธาสินี ศิริกายะ คว้าเหรียญทอง ปัจจุบันไทยมีนักเทนนิสระดับโลกหลายคน และมีแผนพัฒนาระยะยาวเพื่อยกระดับมาตรฐานให้ทัดเทียมกับชาติในยุโรปและอเมริกา
เมื่อกรุงเทพฯ แต่งกายตามแฟชั่นโลก: จินตนาการสตรีไทยยุคอาร์ตเดโค ค.ศ. 1920
เมื่อกรุงเทพฯ แต่งกายตามแฟชั่นโลก: จินตนาการสตรีไทยยุคอาร์ตเดโค ค.ศ. 1920
แฟชั่น AI คอลเลกชันนี้ คือการจินตนาการและการเฉลิมฉลองความเป็น “สมัยใหม่” ที่แฟชั่นกลายเป็นสะพานเชื่อมระหว่างสองวัฒนธรรม — ตะวันตกและตะวันออก — อย่างงดงาม หากในประวัติศาสตร์คู่ขนาน กรุงเทพมหานครได้เปิดรับกระแสแฟชั่นตะวันตกอย่างเต็มตัวในช่วงปลายทศวรรษ 1920 — ณ ช่วงรอยต่อปลายรัชกาลที่ ๖ และต้นรัชกาลที่ ๗ ซึ่งเป็นห้วงเวลาแห่งการเปลี่ยนผ่านสู่ความทันสมัย — เราอาจได้เห็นภาพของสตรีไทยในราชสำนักฝ่ายในและสังคมชั้นสูง ปรากฏกายในชุดราตรียุคอาร์ตเดโคอันหรูหรา แทนที่จะเป็นเครื่องแต่งกายแบบราชนิยม
คอลเลกชันภาพชุดนี้สร้างสรรค์ขึ้นจากจินตนาการถึงโลกที่สยามโอบรับแฟชั่นอาร์ตเดโคอย่างเต็มที่ ท่ามกลางฉากหลังของสถาปัตยกรรมไทย — สตรีไทยปรากฏกายในชุดเดรสผ้าไหมออร์แกนซาราคาแพงที่ประดับด้วยลูกปัดและพู่ดิ้นเงินดิ้นทอง การผสมผสานระหว่างโครงร่างแฟชั่นสมัยใหม่กับพื้นหลังของความเป็นไทยก่อให้เกิดภาพลักษณ์อันวิจิตรที่ทั้งร่วมสมัยและเหนือจริง
แฟชั่นสตรีในยุค 1920 เป็นช่วงเวลาแห่งการปฏิวัติรูปแบบแฟชั่นของสตรีทั่วโลก โครงร่างของเสื้อผ้าสตรีแบบรัดรูปของยุคเอ็ดเวิร์ดเดียนได้ถูกแทนที่ด้วยซิลูเอตทรงตรงและเรียบง่ายขึ้นซึ่งให้ความรู้สึกสมัยใหม่และมีเสรีภาพ จุดเด่นของชุดเดรสในยุคนี้คือเอวต่ำที่เลื่อนลงมาอยู่ในระดับสะโพก กระโปรงยาวแค่เข่าหรือเลยลงมาเล็กน้อย เสื้อผ้าไม่เน้นทรงที่รัดรูปหรือโชว์สัดส่วนของผู้หญิง หากแต่สะท้อนบทบาทใหม่ของผู้หญิงในสังคมที่กล้าแสดงออก เป็นมีอิสระภาพ และมีพื้นที่ในสังคมมากขึ้น
ในจินตนาการนี้ สตรีไทยปรากฏในลุค "แฟลปเปอร์" แห่งโลกตะวันตก สวมสร้อยไข่มุกเส้นยาว พร้อมทั้งศิราภรณ์ เช่น Bandeau หรือที่คาดผมประดับอัญมณี และสวมรองเท้าส้นสูงแบบ T-strap หรือ Mary Jane รวมถึงการไว้ผมทรงบ๊อบดัดลอนคลื่น ซึ่งช่วยเพิ่มกลิ่นอายของความหรูหราและร่วมสมัย ดังนั้นสตรีสยามในภาพจึงปรากฏกายในมิติใหม่ที่กลมกลืนระหว่างความเป็นตะวันออกและตะวันตกอย่างลงตัว
เสียงสะท้อนจากผนังวัด: Art Deco, “เสื้อบ่าห้อย” และภาพจำลองจิตรกรรมฝาผนังแห่งนครลำปาง
เสียงสะท้อนจากผนังวัด: Art Deco, “เสื้อบ่าห้อย” และภาพจำลองแห่งนครลำปาง
คอลเลกชันภาพนี้ได้รับแรงบันดาลใจจากจิตรกรรมฝาผนังฝีมือของ นายปวน สุวรรณสิงห์ หรือที่รู้จักกันในชื่อ “ช่างปวน” ซึ่งปรากฏอยู่ใน พระอุโบสถวัดบุญวาทย์วิหาร จังหวัดลำปาง หนึ่งในวัดสำคัญของหัวเมืองล้านนาตอนปลายที่ผสมผสานอิทธิพลศิลปะจากราชสำนักกรุงเทพฯ เข้ากับจิตวิญญาณพื้นบ้านได้อย่างงดงาม
จิตรกรรมของช่างปวนในพระอุโบสถแห่งนี้มีลักษณะเฉพาะ คือการนำเสนอวิถีชีวิตของผู้คนในเมืองลำปางช่วงรัชกาลที่ 6 โดยเฉพาะ หญิงสาวสวมเสื้อบ่าห้อยและผ้าซิ่นลายพื้นเมือง ซึ่งแทรกตัวอยู่ในฉากชีวิตประจำวันภายในวัด แม้มิใช่ตัวละครหลักในจิตรกรรมเชิงศาสนา แต่กลับดึงดูดสายตาผู้ชมด้วยความละเมียดละไม มีชีวิตชีวา และแฝงไว้ด้วยกลิ่นอายความร่วมสมัยที่สะท้อนโลกยุคใหม่
เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) จึงถูกนำมาใช้ในคอลเลกชันนี้เพื่อสร้างภาพถ่ายกึ่งสมจริง (semi-realistic photography) ที่ผสมผสานองค์ประกอบของงานจิตรกรรมฝาผนังแบบดั้งเดิมเข้ากับมิติของแสงและเงาในแบบภาพถ่าย เสมือนหญิงสาวเหล่านี้ก้าวออกจากผนังจิตรกรรมโบราณมายืนอยู่ต่อหน้าเราจริง ๆ
ช่างปวน: ศิลปินท้องถิ่นผู้เชื่อมโยงโลกศิลป์กรุงเทพฯ กับล้านนา
นายปวน สุวรรณสิงห์ (พ.ศ. 2440–2508) เป็นช่างเขียนภาพชาวลำปางเชื้อสายพม่า เติบโตในชุมชนศิลปะพื้นบ้าน และเริ่มต้นอาชีพด้วยการเป็นช่างจิตรกรรมฝาผนังตามวัดต่าง ๆ ในลำปางและพื้นที่ใกล้เคียง จุดเปลี่ยนสำคัญในชีวิตของเขาเกิดขึ้นเมื่อได้เป็นศิษย์ของ พระยาอนุศาสน์จิตรกร จิตรกรหลวงจากกรุงเทพฯ ผู้มีบทบาทสำคัญในการถ่ายทอดเทคนิคจิตรกรรมแบบราชสำนักสมัยรัชกาลที่ 5–6
พระยาอนุศาสน์จิตรกรได้รับมอบหมายจาก เจ้าหลวงบุญวาทย์วงษ์มานิต เจ้าเมืองลำปางในขณะนั้น ให้นำแนวทางศิลปะรัตนโกสินทร์มาจัดองค์ประกอบจิตรกรรมในวัดบุญวาทย์ พร้อมทั้งฝึกสอนช่างท้องถิ่น โดยช่างปวนคือหนึ่งในศิษย์ที่มีความสามารถโดดเด่น เขาได้เรียนรู้เทคนิคเช่น การใช้สีฝุ่นผสมน้ำปูน, การลงทองคำเปลวบนเครื่องทรง, และการวาดภาพด้วยมุมมองแบบ bird’s-eye view ซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะของจิตรกรรมไทยยุคนั้น
ระหว่างศิลปะราชสำนักกับศิลปะชาวบ้าน
งานของช่างปวนถือเป็นจุดเชื่อมระหว่างโลกของจิตรกรรมราชสำนักอันเคร่งครัด กับโลกของชาวบ้านล้านนาอันอบอุ่นและเปี่ยมชีวิต ภาพของชายในโจงกระเบนและเสื้อราชปะแตน หญิงในสไบเฉียงและมวยผมสูง ถูกนำเสนอร่วมกับภาพหญิงสามัญชนในเสื้อบ่าห้อย ผ้าซิ่น และทรงผมสั้นลอนคลื่น ซึ่งสะท้อนแฟชั่นสมัยใหม่อย่างชัดเจน
นอกจากนี้ยังมีภาพของ คนเดินตลาด, หญิงสาวนั่งเรียงแถว, หรือ แม่บ้านในวัด ซึ่งอาจมิใช่ตัวเอกของเรื่องราวในจิตรกรรม แต่นำเสนออารมณ์ความเป็นมนุษย์ที่แท้จริง และเปิดพื้นที่ให้ผู้หญิงสามัญชนได้ “ปรากฏตัว” อย่างมีเกียรติในงานศิลปะยุคต้นศตวรรษที่ 20
จากจิตรกรรมสู่ AI: การตีความใหม่ในศตวรรษที่ 21
ภาพ AI ในคอลเลกชันนี้จึงมิได้เป็นเพียงการสร้างงานศิลปะใหม่ แต่เป็นการ รำลึกถึงบทบาทของผู้หญิงล้านนาในอดีต ผ่านภาษาของแฟชั่น ทรงผม และอิริยาบถ เสมือนการตั้งคำถามว่า “ถ้าหญิงสาวในจิตรกรรมของช่างปวนมีชีวิตขึ้นมาในวันนี้ พวกเธอจะเป็นอย่างไร?”
การใช้เสื้อบ่าห้อยแทนเสื้อชั้นในแบบตะวันตก (corset-cover) การจับคู่กับผ้าซิ่น และการทำผมบ็อบลอนคลื่นแบบ flapper ล้วนสะท้อนอิทธิพลของแฟชั่นยุค Art Deco ที่หลอมรวมกับบริบทเมืองร้อนของลำปาง จึงเกิดเป็นความร่วมสมัยของแฟชั่นล้านนาในช่วงรัชกาลที่ 6 ซึ่งมีเอกลักษณ์เฉพาะตน
คอลเลกชันนี้จึงเป็นมากกว่าภาพถ่ายจาก AI หากแต่เป็นการตีความอดีตผ่านสายตาใหม่ โดยอาศัยศิลปะและเทคโนโลยีร่วมกันรังสรรค์บทสนทนาระหว่างภาพจิตรกรรมบนผนังวัด กับโลกแฟชั่นของหญิงสาวในประวัติศาสตร์ ที่อาจเคยถูกมองข้าม…แต่บัดนี้กลับเฉิดฉายอย่างสง่างาม
การตีความทางศิลปะ
ใน Echoes from the Temple Walls เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) กลายเป็นทั้งพู่กัน เลนส์ และไทม์แมชชีน ที่ใช้สร้างคอลเลกชันภาพถ่ายกึ่งสมจริง (semi-realistic photography) ซึ่งเบลอเส้นแบ่งระหว่างการถ่ายภาพพอร์ตเทรตและจิตรกรรมฝาผนังแบบดั้งเดิม ภาพแต่ละภาพเชื้อเชิญให้เราตั้งคำถามว่า: หญิงสาวที่เรากำลังมองอยู่นี้ คือบุคคลจริงที่ถูกถ่ายในแสงสตูดิโอนุ่มนวล หรือคือภาพจิตรกรรมโบราณที่กลับมามีชีวิตผ่านความทรงจำดิจิทัล?
คอลเลกชันนี้ไม่ได้มุ่งหมายจะลอกเลียนประวัติศาสตร์ หากแต่เป็นการ ตีความประวัติศาสตร์ใหม่ผ่านเลนส์ของจิตรกร ได้รับแรงบันดาลใจจากความสง่างามเหนือกาลเวลาของจิตรกรรมฝาผนังล้านนา และความเสมือนจริงของภาพถ่ายแฟชั่นพอร์ตเทรต หญิงสาวในภาพเหล่านี้จึงปรากฏราวกับว่าเธอ ก้าวออกมาจากผนังวัด เสื้อผ้าที่สวมใส่ถูกจินตนาการขึ้นใหม่และงดงาม ราวกับห้วงเวลาหยอกล้อกันเอง ทำให้โลกดั้งเดิมและโลกสมัยใหม่อยู่ร่วมกันได้ในภาพเดียว
ผลงานชุดนี้มีความสอดคล้องทางแนวคิดกับเทคนิคของศิลปินดูโอชื่อดังชาวฝรั่งเศส Pierre et Gilles ซึ่งเป็นที่รู้จักในด้านภาพถ่ายพอร์ตเทรตที่ประณีต ตกแต่งด้วยการเพนต์มืออย่างวิจิตร เต็มไปด้วยสไตล์ที่โดดเด่นและเหนือจริง เช่นเดียวกับ Pierre et Gilles
Pierre Commoy และ Gilles Blanchard หรือที่รู้จักกันในนาม Pierre et Gilles ร่วมสร้างผลงานตั้งแต่ช่วงทศวรรษ 1970 ด้วยการออกแบบฉากอย่างวิจิตรบรรจง ผสานเทคนิคการถ่ายภาพเข้ากับการตกแต่งภาพด้วยการเพนต์มืออย่างพิถีพิถัน ผลงานของพวกเขามักสะท้อนโลกแห่งจินตนาการ และความงามเหนือจริง ซึ่งเราสามารถสัมผัสได้จากมิติของแสงและพื้นผิวในผลงานชุดนี้เช่นกัน
ในโลกที่จินตนาการขึ้นนี้ หญิงสาวเหล่านี้สวมใส่ “เสื้อบ่าห้อย” เสื้อพื้นเมืองของหญิงชาวล้านนา ซึ่งไม่ได้ถูกนำเสนอเพื่อความถูกต้องทางประวัติศาสตร์ แต่เป็น สัญลักษณ์ของความทรงจำทางวัฒนธรรม ที่หลอมรวมความสง่างามแบบ Art Deco เข้ากับภาษาทัศนศิลป์ของจิตรกรรมฝาผนัง ผลลัพธ์คือ ภาพที่เบลอเส้นแบ่งระหว่างภาพถ่ายกับจิตรกรรม
กรุงเทพฯในจินตนาการ ยุคอาร์ตเดโค 1920
กรุงเทพฯในจินตนาการ ยุคอาร์ตเดโค 1920: เมื่อสังคมไทยสวมแฟชั่นตะวันตกอย่างเต็มรูปแบบ
หาก กรุงเทพฯมีโลกคู่ขนาน ในช่วงปลายทศวรรษ 1920 ภายใต้รัชสมัยต้นของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๗) จินตนาการว่ากรุงเทพได้เข้าสู่กระแสแฟชั่นตะวันตกอย่างเต็มที่ ภาพชุดนี้จะสะท้อนสตรีไทยในชุดค๊อกเทลในยุคอาร์ตเดโคที่งดงาม เฉิดฉายอยู่ในฉากหลังของสถาปัตยกรรมไทย แทนที่จะเป็นเครื่องแต่งกายแบบราชนิยม ในฉากหลังของคอลเล็คชั่่นภาพชุดนี้ เราจะเห็นหญิงสาวในเดรสผ้าชีฟองปักเลื่อม พร้อมไข่มุก และรองเท้าส้นสูงแบบตะวันตก กับสถาปัตยกรรมไทยอย่างกลมกลืน
หัวใจของการสร้างสรรค์ผลงานคอลเล็คชั่นนี้อยู่ที่ ซิลูเอตแฟชั่นยุค 1920s ซึ่งนับเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของโลกแฟชั่น จากเดิมที่ผู้หญิงตะวันตกนิยมโครงร่างเงาแบบทรงนาฬิกาทรายแบบยุคเอ็ดเวิร์ดเดียน ได้เปลี่ยนมาเป็นลุคที่เน้นความเรียบง่าย และเสื้อผ้าแบบทรงแบบสมมารต และปราศจากโครงเสื้อที่รัดรูป โครงร่างเงาของเครื่องแต่งกายสตรีในยุคนี้ นิยมเสื้อผ้าทรงหลวมๆ และช่วงเอวต่ำ ซึ่งให้ความรู้สึกความเป็นอิสระและทันสมัย ชายกระโปรงยาวแค่เข่าหรือใต้เข่า และตกแต่งด้วยพู่ และปักเลื่อมทั้งชุด หรือประดับไข่มุก ชุดเหล่านี้สะท้อนแสงระยิบระยับเมื่อเคลื่อนไหว ผ้าที่เป็นที่นิผมในสมัยนี้คือ ผ้าชีฟอง ผ้าไหม และผ้าทูล ซึ่งให้ความรู้สึกพลิ้วไหวและเบาบาง เครื่องประดับที่ขาดไม่ได้คือ สร้อยไข่มุกเส้นยาว รองเท้าแบบ T-strap และหมวกคล็อชประดับขนนกหรืออัญมณี และ bandeau หรือที่คาดผมประดับอัญมณีและขนนก
แฟชั่นตะวันตกในราชสำนักไทย: แฟชั่นสตรีสยามยุครัชกาลที่ 6
แฟชั่นงานราตรีของสตรีไทยในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว: คอลเลกชัน AI ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากความสง่างามในยุค 1920s
คอลเลกชันแฟชั่นที่สร้างขึ้นด้วย AI ชุดนี้ ได้รับแรงบันดาลใจจากพระบรมฉายาลักษณ์ ของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 6) ประทับร่วมกับข้าราชบริพาร ถ่ายในปี พ.ศ. 2467 (1924) ในภาพนั้นผมรู้สึกประทับใจอย่างยิ่งกับชุดราตรีที่สวมใส่โดย เจ้าจอมสุวัทนา (เครือแก้ว อภัยวงศ์) และ พระสุจริตสุดา (เปรื่อง สุจริตกุล) ซึ่งทั้งสองท่านสวมใส่ชุดราตรีสไตล์ตะวันตกตามแบบฉบับของยุค 1920s ทั้งในเรื่องของโครงชุดแบบ flapper dress ที่มีเอวต่ำ กระโปรงพลีตผ้าเบา การปักประดับด้วยลูกปัดและเลื่อม รวมถึงเครื่องประดับศีรษะแบบ bandeau ซึ่งเป็นแฟชั่นยอดนิยมในแวดวงสตรีชนชั้นสูงของยุโรปในขณะนั้น
ช่วงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (พ.ศ. 2453–2468) ถือเป็นยุคแห่งการเปิดรับวัฒนธรรมตะวันตก โดยเฉพาะในหมู่ชนชั้นนำของสยาม การแต่งกายแบบตะวันตกจึงกลายเป็นสัญลักษณ์ของความทันสมัยและความมีรสนิยม ชุดราตรีสตรีแบบตะวันตกซึ่งเคยเป็นของแปลกตาในสยาม กลับกลายเป็นเครื่องแต่งกายปกติในงานเลี้ยงสังสรรค์ งานพระราชพิธี และงานสังคมต่าง ๆ ของราชสำนัก โดยสตรีไทยเหล่านี้สามารถนำเสนอรูปแบบการแต่งกายตะวันตกได้อย่างงดงามสง่างามและกลมกลืนกับบุคลิกแบบไทย
ภาพในคอลเลกชันนี้สร้างขึ้นโดยเทคโนโลยี AI เพื่อจำลองความงามตามแบบฉบับของสตรีไทยในยุคต้นศตวรรษที่ 20 โดยถ่ายทอดผ่านเดรสยาวปักเลื่อมโทนสีพาสเทล ถุงมือยาวเหนือศอก (opera gloves) และเครื่องประดับสไตล์ art deco พร้อมทรงผมบ๊อบดัดลอนประดับด้วยที่คาดผมไข่มุกหรือขนนก ซึ่งเป็นลุคที่นิยมอย่างแพร่หลายในหมู่สตรีสังคมยุโรป และได้รับการปรับใช้โดยสุภาพสตรีชั้นสูงของไทยอย่างประณีตงดงาม
คอลเลกชันนี้คือการเฉลิมฉลองช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนผ่านที่สำคัญในประวัติศาสตร์แฟชั่นของไทย ซึ่งแฟชั่นไม่เพียงแต่เป็นการตกแต่งภายนอก หากยังเป็นภาพสะท้อนของอัตลักษณ์ ความเป็นสมัยใหม่ และวิสัยทัศน์ที่มุ่งมั่นของชนชั้นนำไทยในยุคที่โลกเริ่มเชื่อมโยงกันมากขึ้น ความงามที่เกิดจากการผสมผสานระหว่างแฟชั่นตะวันตกกับจิตวิญญาณแบบไทยในยุคนี้ยังคงเป็นแรงบันดาลใจให้กับศิลปิน นักออกแบบ และผู้ที่หลงใหลในประวัติศาสตร์จนถึงทุกวันนี้
แฟชั่นสตรีพม่ากับบทบาทการต่อต้านอังกฤษในยุคอาณานิคมในทศวรรษ 1930
แฟชั่นสตรีพม่ากับบทบาทการต่อต้านอังกฤษในยุคอาณานิคมในทศวรรษ 1930
ทศวรรษ 1930 เป็นช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนแปลงสำหรับพม่า ซึ่งแฟชั่นของสตรีสะท้อนถึงความภาคภูมิใจในวัฒนธรรมและความเข้มแข็งของชาติท่ามกลางการต่อสู้เพื่อเอกราช ศูนย์กลางของแฟชั่นนี้คือ ทะเมง (Htamein - ထမင်) ซึ่งเป็นเวอร์ชันสำหรับผู้หญิงของ ลงจี (Longyi - လုံချည်) ผ้านุ่งทรงกระบอกที่เป็นเครื่องแต่งกายส่วนล่าง โดยคำว่า “ลงจี” มีรากศัพท์มาจากภาษาทมิฬหรืออินเดียใต้ที่หมายถึง “ผ้าซิ่น” หรือ “ผ้านุ่ง” เครื่องแต่งกายชนิดนี้เป็นที่นิยมในพม่าตั้งแต่สมัยอาณานิคม โดยเวอร์ชันสำหรับผู้ชายที่เรียกว่า ปะโซ (Pasu - ပုဆိုး) มีลวดลายเรียบง่ายและผูกที่ด้านหน้า ส่วน ทะเมง (ထမင်) ของผู้หญิงโดดเด่นด้วยลวดลายที่ละเอียดอ่อน การจับจีบ และสีสันสดใส ซึ่งแสดงถึงความงดงามและเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรม
ในยุคอาณานิคมอังกฤษ เครื่องแต่งกายได้กลายเป็นสัญลักษณ์แห่งการแสดงออกถึงความรู้สึกต่อต้านลัทธิล่าอาณานิคม โดยชุดพื้นเมืองแบบดั้งเดิม เช่น ยาวลงจี (Yaw Longyi - ယောလုံချည်) และ ปินนีไต๊กโพ่ง (Pinni Taikpon - ပင်နီတိုင်ပုံ) เสื้อแจ็คเก็ตแบบไม่มีปก ถูกนำมาเชื่อมโยงกับขบวนการชาตินิยมและต่อต้านอาณานิคม ชุดเหล่านี้กลายเป็นสัญลักษณ์ของความภาคภูมิใจในความเป็นพม่าและการต่อต้านการครอบงำของอังกฤษ อย่างไรก็ตาม ผู้ที่สวมใส่ชุดดังกล่าวมักถูกตำรวจอังกฤษจับกุมเพราะถือว่าเป็นการต่อต้านแบบแฝง การแต่งกายด้วยเสื้อผ้า “ดั้งเดิม” ในยุคนั้นจึงกลายเป็นวิธีการแสดงการต่อต้านลัทธิล่าอาณานิคมอย่างสันติ นอกจากนี้ ชาตินิยมพม่ายังได้รับแรงบันดาลใจจากขบวนการสวาเทศี (Swadeshi) ของมหาตมะคานธี โดยรณรงค์คว่ำบาตรสินค้านำเข้า รวมถึงเสื้อผ้า เพื่อสนับสนุนการบริโภคสินค้าที่ผลิตในประเทศ ซึ่งรวมถึงเสื้อผ้าแบบพื้นเมือง
ทะเมง (ထမင်) มักทอจากผ้าไหมหรือผ้าฝ้าย และตกแต่งด้วยลวดลายที่ได้รับแรงบันดาลใจจากมรดกวัฒนธรรม เช่น ลายคลื่น ลายดอกไม้ และลายเรขาคณิต สำหรับผู้หญิงที่มีฐานะดี ทะเมง มักประดับด้วยด้ายทองหรือประกายเมทัลลิกเพื่อเสริมความงามและแสดงถึงสถานะ กระโปรงที่จับจีบด้านหน้าอย่างประณีตนี้กลายเป็นจุดเด่นของแฟชั่นพม่า ซึ่งรวมเอาความสะดวกสบายและความงามแบบดั้งเดิมไว้ด้วยกัน
สตรีพม่าสวมเสื้อที่เรียกว่า อินจี (Eingyi - အင်္ကျီ) ซึ่งมีสองแบบที่พบได้บ่อย ได้แก่ ยินซี (Yinzi - ရင်စီ) ซึ่งติดกระดุมด้านหน้า และ ยินโบง (Yinbon - ရင်ဘုံ) ที่ติดกระดุมด้านข้าง เสื้อกำมะหยี่สำหรับโอกาสพิเศษมักออกแบบอย่างหรูหราด้วยคอจีนหรือคอกลม และตกแต่งด้วยกระดุมและเชือกถักที่เรียกว่า frogging ซึ่งช่วยเพิ่มความประณีตและความโดดเด่นให้กับชุด สำหรับงานพิธีทางศาสนาหรือโอกาสพิเศษ สตรีพม่ามักสวมผ้าคลุมไหล่เพื่อเพิ่มความสง่างามและความเหมาะสมตามประเพณี ส่วนเสื้อในชีวิตประจำวัน เช่น ผ้ามัสลินหรือผ้าฝ้าย มีการออกแบบที่เรียบง่าย เช่น ทรงหลวมและปักลายละเอียดอ่อน เพื่อความสะดวกสบายและความงามในทุกวัน
ทรงผมยังเป็นองค์ประกอบสำคัญของแฟชั่นพม่า โดยเฉพาะทรง BA Sanhtone (ဘီအေဆံထုံး) หรือที่รู้จักกันว่า “ทรงผมมวยกระบอก” ซึ่งเป็นทรงผมที่โดดเด่นของหญิงสาวในยุคอาณานิคม ลักษณะเด่นคือการเกล้าผมขึ้นเป็นมวยทรงกระบอกที่จัดแต่งอย่างเรียบตึง มีหน้าม้าเสยลอนขึ้นด้านบนอย่างประณีต และประดับด้วยดอกไม้ เช่น ดอกลีลาวดี ดอกมะลิ หรือเครื่องประดับทองแบบดั้งเดิม ทรงผม BA Sanhtone ปรากฏครั้งแรกในช่วงทศวรรษ 1920 และได้รับความนิยมต่อเนื่องถึงทศวรรษ 1950 สะท้อนถึงความสง่างาม ความเป็นผู้หญิง และการผสมผสานระหว่างความงามแบบดั้งเดิมกับอิทธิพลสมัยใหม่ในยุคที่วัฒนธรรมพม่ากำลังตื่นตัว
บทความนี้เป็นส่วนหนึ่งของคอลเลกชัน AI ซึ่งผมได้ฝึกโมเดล AI ด้วยข้อมูลแฟชั่นสตรีพม่าในทศวรรษ 1930 เพื่อสร้างภาพลักษณ์ที่สะท้อนถึงสไตล์ในอดีต การออกแบบเหล่านี้นำเสนอความงดงามของ ทะเมง (ထမင်), อินจี (အင်္ကျီ), frogging, และองค์ประกอบอื่น ๆ ที่สะท้อนถึงความละเอียดอ่อนและรักษามรดกทางวัฒนธรรมของพม่าไว้
แฟชั่นสตรีพม่าในทศวรรษ 1930 เป็นบทพิสูจน์ถึงความภาคภูมิใจในมรดกทางวัฒนธรรม พร้อมทั้งสะท้อนถึงความยืดหยุ่นและความงามที่ปรับตัวเข้ากับอิทธิพลสมัยใหม่ มรดกอันงดงามนี้ยังคงสร้างแรงบันดาลใจให้คนรุ่นหลังและเป็นความงามที่สมควรได้รับการจดจำต่อไป
แฟชั่นสตรีล้านนาในสมัยรัชกาลที่ ๕
แฟชั่นสตรีล้านนาในสมัยรัชกาลที่ ๕
คอลเลกชันภาพถ่ายที่สร้างขึ้นด้วย AI นี้เป็นการสร้างสรรค์วัฒนธรรมการแต่งกายของสตรีล้านนา โดยได้รับแรงบันดาลใจจาก ภาพถ่ายในประวัติศาสตร์ทั้งหมดสามภาพ ซึ่งบันทึกไว้ในรัชสมัยรัชกาลที่ 5 คอลเลกชันนี้ผสมผสาน ความถูกต้องทางประวัติศาสตร์เข้ากับศิลปะดิจิทัล เพื่อให้เห็นถึง ควสามงดงามของสตรีและผ้าทอแบบล้านนา
ในสมัยรัชกาลที่ ๕ สตรีล้านนานิยมสวม ผ้าแถบ สำหรับพันรอบอก หรือพาดเฉียงไหล่ในแบบสะหว้ายแหล้ง ผ้าซิ่นที่นิยม เป็นซิ่นทอที่มีลวดลายทางขวาง เรียกว่าซิ่นต๋า โดยอาจมี ตีนจก (คือผ้าที่บริเวณส่วนปลายของผ้าซิ่นประกอบด้วยผ้าที่มีลวดลายที่ทอด้วยวิธีจก หรือควักเส้นด้ายพิเศษสีต่างๆมาผูกมัดขัดกับเส้นอื่นเป็นลวดลายแบบต่างๆ) หรือ ตีนลวด (ลวดลายที่ทอขึ้นมาพร้อมกับผืนผ้าโดยไม่มีการเย็บต่อ) ในช่วงฤดูหนาว ผ้าตุ๊ม หรือ ผ้าคลุมไหล่ มักถูกนำมาใช้เพื่อให้ความอบอุ่น โดยยังคงไว้ซึ่งความงดงามและความสะดวกสบายในแบบล้านนา
วิวัฒนาการของการทอผ้าซิ่นล้านนา: จากซิ่นต่อตีนต่อเอวสู่ซิ่นแบบลวดหัวลวดตีน
ซิ่นต่อตีนต่อเอวโบราณ: ซิ่นล้านนาแบบดั้งเดิม ทอแยกเป็นสามส่วน แล้วจึงนำมาเย็บประกอบเป็นผืนเดียวกัน ได้แก่
* หัวซิ่น: ส่วนบนติดกับเอว มักเป็นผ้าสีพื้นหรือมีลวดลายเล็กน้อย
* ตัวซิ่น: ส่วนหลักของซิ่น มักเป็นลายขวางหรือลวดลายที่แตกต่างจากหัวซิ่น
* ตีนซิ่น: ส่วนล่างของซิ่น อาจเป็น ตีนจก หรือเป็น ตีนซิ่นที่ทำจากผ้าสีพื้น เช่น สีดำ เพื่อเสริมความทนทาน
ก่อนมีการพัฒนากี่กระตุก ผ้าซิ่นต้องทอเป็นชิ้นเล็กๆ และเย็บต่อกัน เนื่องจากขนาดหน้ากว้างของกี่ทอยังมีข้อจำกัด
ซิ่นแบบลวดหัวลวดตีน: ในสมัยรัชกาลที่ 6 ถึงรัชกาลที่ 7 การพัฒนากี่กระตุกทำให้สามารถทอผ้าซิ่นได้ เต็มผืนโดยไม่ต้องเย็บต่อ ซิ่นลักษณะนี้เรียกว่า ซิ่นแบบลวดหัวลวดตีน ซึ่งมีข้อดีคือ:
* ไม่มีรอยต่อ ระหว่างหัวซิ่น ตัวซิ่น และตีนซิ่น
* ลวดลายสามารถทอเป็นผืนเดียวกันได้ โดยไม่ต้องเย็บประกอบ
* ผ้าซิ่นมีความทนทานมากขึ้น เนื่องจากทอเป็นชิ้นเดียว
* กระบวนการผลิตมีประสิทธิภาพสูงขึ้น ลดระยะเวลาและแรงงานในการเย็บตัด
AI กับการศึกษาประวัติศาสตร์แฟชั่นไทย – ศักยภาพและข้อจำกัด
คอลเลกชันภาพถ่ายที่สร้างขึ้นด้วย AI นี้เป็นตัวอย่างที่แสดงให้เห็นถึง ศักยภาพของเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ ในการช่วยสร้างภาพจำลองสำหรับศึกษาประวัติศาสตร์แฟชั่นไทย โดยเฉพาะ แฟชั่นล้านนาในสมัยรัชกาลที่ 5 ซึ่งได้รับการถ่ายทอดผ่านการผสมผสาน หลักฐานทางประวัติศาสตร์เข้ากับศิลปะดิจิทัล
AI สามารถ รังสรรค์ภาพอดีตขึ้นใหม่ได้อย่างแม่นยำในแง่ของรูปทรง เสื้อผ้า และสไตล์การแต่งกาย ทำให้เราเห็นโครงสร้างโดยรวมของ ซิ่นต๋า ผ้าแถบ และการห่มผ้าแบบสะหว้ายแหล้ง อย่างชัดเจน อย่างไรก็ตาม แม้ว่า AI จะสามารถถ่ายทอดภาพรวมของแฟชั่นล้านนาออกมาได้ดี แต่ก็ยังมีข้อจำกัดในการ จับรายละเอียดที่ซับซ้อนของงานสิ่งทอไทย โดยเฉพาะ ลวดลายตีนจก ซึ่งมักมีลวดลายเล็กละเอียดและซับซ้อนเกินไปสำหรับแบบจำลอง AI ในปัจจุบัน
ถึงแม้ว่าในกระบวนการพัฒนา เราจะใช้การ ฝึก LoRA (Low-Rank Adaptation) เพื่อปรับแต่งโมเดลให้เข้าใจองค์ประกอบของแฟชั่นไทยมากขึ้น แต่ ฐานข้อมูลที่ AI ใช้ในการฝึกฝนยังคงมีพื้นฐาน (base model) จากชุดข้อมูลตะวันตกเป็นหลัก ทำให้บางครั้ง AI ยังไม่สามารถ ถ่ายทอดรายละเอียดเชิงวัฒนธรรมแบบเฉพาะของไทยได้อย่างครบถ้วน เช่น ลายตีนจกที่มีความละเอียดสูง หรือเทคนิคการทอแบบพื้นเมือง ความท้าทายนี้แสดงให้เห็นว่า แม้ว่า AI จะเป็นเครื่องมือที่ทรงพลังในการช่วยฟื้นฟูและศึกษาประวัติศาสตร์แฟชั่นไทย แต่ก็ยังมีข้อจำกัดในการแปลความหมายของรายละเอียดที่ซับซ้อนและลึกซึ้งในเชิงวัฒนธรรม
แต่วิธีที่ช่วยแก้ปัญหาคือการนำภาพผ้าซิ่นไปแก้และขายใน Magnific แล้วตีนจกจะออกมาเหมือนทอด้วยดิ้นเงินดิ้นทองได้ครับ
อย่างไรก็ตาม ข้อจำกัดเหล่านี้ไม่ได้ลดทอนคุณค่าของ AI ในการศึกษาประวัติศาสตร์แฟชั่น แต่กลับเน้นให้เห็นถึงความสำคัญของการใช้เทคโนโลยีควบคู่ไปกับองค์ความรู้จากนักวิชาการและผู้เชี่ยวชาญด้านสิ่งทอไทย เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ถูกต้องและสมบูรณ์ที่สุด AI อาจเป็นสะพานเชื่อมระหว่างอดีตและอนาคต แต่ในขณะเดียวกันก็ยังคงต้องอาศัย องค์ความรู้ดั้งเดิมและการตีความของมนุษย์ เพื่อรักษามรดกทางวัฒนธรรมให้คงอยู่และถูกนำเสนออย่างแม่นยำในยุคดิจิทัล